แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
โจทก์ทั้งสองบรรยายฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นผู้เยาว์และเป็นผู้เสียหาย โดยมีโจทก์ที่ 2 เป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายในฐานะส่วนตัวและในฐานะเป็นผู้แทนโดยชอบธรรม การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการกระทำโดยจงใจ เป็นการละเมิดทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย และบรรยายฟ้องถึงค่าเสียหาย 3 ประการ คือ ประการที่ 1 ค่ารักษาพยาบาลตัวโจทก์ที่ 1 ที่โรงพยาบาล บ. เป็นเงิน 3,120 บาท ประการที่ 2 ค่ารถยนต์แท็กซี่ในการเดินทางของโจทก์ที่ 1 จากบ้านไปโรงเรียนหรือโรงพยาบาลเป็นเงิน 6,300 บาท และประการที่ 3 ค่าเสียหายของโจทก์ที่ 1 ที่ไม่สามารถใช้มือซ้ายยกเครื่องมือในการปฏิบัติงานได้เหมือนคนปกติตลอดชีวิตเป็นเงิน 300,000 บาท รวมเป็นเงิน 309,420 บาท ซึ่งการที่โจทก์ที่ 1 เป็นบุตรของโจทก์ที่ 2 ถูกจำเลยที่ 1 บุตรของจำเลยที่ 2 ใช้มีดฟันที่ข้อมือซ้ายได้รับบาดเจ็บสาหัส โจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นบิดาและเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมย่อมมีหน้าที่ดูแลจ่ายค่ารักษาพยาบาลและค่าเดินทางต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกัน เมื่อต้องเสียค่าใช้จ่ายดังกล่าวไปแล้ว โจทก์ที่ 2 ย่อมมีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายที่จ่ายไปจากผู้ที่ทำละเมิดคือจำเลยที่ 1 ซึ่งอยู่ในความดูแลของจำเลยที่ 2 ได้ เพราะเป็นค่าเสียหายส่วนตัวโดยตรง แม้ในคำฟ้องระบุว่าโจทก์ได้รับความเสียหายโดยมิได้ระบุว่าโจทก์ทั้งสอง แต่คำว่าโจทก์ย่อมหมายถึงโจทก์ทั้งสอง ซึ่งรวมถึงโจทก์ที่ 2 ด้วย โจทก์ที่ 2 ในฐานะส่วนตัวจึงมีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายประการที่ 1 และประการที่ 2 จากจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นค่าเสียหายส่วนตัวโดยตรง ส่วนค่าเสียหายประการที่ 3 โจทก์ที่ 1 เป็นผู้เสียหายโดยตรง โดยโจทก์ที่ 2 ไม่ได้รับความเสียหายในส่วนนี้ โจทก์ที่ 2 จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายเฉพาะประการที่ 3 จากจำเลยทั้งสองเท่านั้น
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสองฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน 309,420 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนการชำระเงิน 59,420 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันที่ 23 พฤศจิกายน 2544 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 29,320 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยของต้นเงินจำนวนดังกล่าวในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ที่ 1 ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 2 กับให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าทนายความในศาลชั้นต้นแทนโจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 3,000 บาท ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นระหว่างโจทก์ที่ 2 กับจำเลยทั้งสองให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังได้ยุติในเบื้องต้นว่า โจทก์ที่ 1 เป็นบุตรของโจทก์ที่ 2 และจำเลยที่ 1 เป็นบุตรของจำเลยที่ 2 ขณะเกิดเหตุคดีนี้ โจทก์ที่ 1 และจำเลยที่ 1 เป็นผู้เยาว์ โจทก์ที่ 1 เป็นนักเรียนโรงเรียนเทคนิคโนโลยีสยาม ส่วนจำเลยที่ 1 เป็นนักเรียนโรงเรียนเทคโนโลยีหมู่บ้านครู ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุดังกล่าวในฟ้อง โจทก์ที่ 1 กับเพื่อนนักเรียนโรงเรียนเดียวกันนั่งอยู่ที่ป้ายจอดรถยนต์โดยสารประจำทางปรับอากาศสาย 10 ตำบลบางครุ อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ จำเลยที่ 1 กับเพื่อนนักเรียนโรงเรียนดังกล่าว เข้ามาทำร้ายร่างกายโจทก์ที่ 1 กับพวก ในส่วนของโจทก์ที่ 1 จำเลยที่ 1 เป็นผู้ใช้มีดเป็นอาวุธฟันโจทก์ที่ 1 ได้รับบาดเจ็บสาหัสตามใบรับรองแพทย์ พนักงานอัยการฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาลจังหวัดสมุทรปราการ แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวในข้อหาทำร้ายร่างกายโจทก์ที่ 1 และพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ ศาลจังหวัดสมุทรปราการแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามที่โจทก์ฟ้องและลงโทษจำเลยที่ 1 ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1418/2545 คดีถึงที่สุดแล้ว คดีนี้จึงเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาดังกล่าว ในประเด็นเรื่องค่าเสียหายเฉพาะส่วนที่เป็นค่ารักษาพยาบาล โจทก์ที่ 2 จ่ายค่ารักษาพยาบาลโจทก์ที่ 1 ให้แก่โรงพยาบาลบางปะกอก 3 เป็นเงิน 3,120 บาท ตามใบเสร็จรับเงิน ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองรับผิดและศาลอุทธรณ์ภาค 1 มิได้แก้ไขจึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ส่วนในประเด็นเรื่องจำเลยที่ 2 มิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรดูแลจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ในการกระทำดังกล่าวนั้น จำเลยทั้งสองมิได้ฎีกา จึงยุติไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 1
ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองในข้อแรกมีว่า โจทก์ที่ 2 มีอำนาจฟ้องคดีนี้ในฐานะส่วนตัวหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ทั้งสองบรรยายฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นผู้เยาว์และเป็นผู้เสียหาย โดยมีโจทก์ที่ 2 เป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายในฐานส่วนตัวและในฐานะเป็นผู้แทนโดยชอบธรรม การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการกระทำโดยจงใจ เป็นการละเมิดทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย และบรรยายฟ้องถึงค่าเสียหาย 3 ประการ คือ ประการที่ 1 ค่ารักษาพยาบาลตัวโจทก์ที่ 1 ที่โรงพยาบาลบางปะกอก 3 เป็นเงิน 3,120 บาท ประการที่ 2 ค่ารถยนต์แท็กซี่ในการเดินทางของโจทก์ที่ 1 จากบ้านไปโรงเรียนหรือโรงพยาบาลเป็นเงิน 6,300 บาท และประการที่ 3 ค่าเสียหายของโจทก์ที่ 1 ที่ไม่สามารถใช้มือซ้ายยกเครื่องมือในการปฏิบัติงานได้เหมือนคนปกติตลอดชีวิตเป็นเงิน 300,000 บาท รวมเป็นเงิน 309,420 บาท ซึ่งการที่โจทก์ที่ 1 เป็นบุตรของโจทก์ที่ 2 ถูกจำเลยที่ 1 บุตรของจำเลยที่ 2 ใช้มีดฟันที่ข้อมือซ้ายได้รับบาดเจ็บสาหัส โจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นบิดาและเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมย่อมมีหน้าที่ดูแลจ่ายค่ารักษาพยาบาลและค่าเดินทางต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกันเมื่อต้องเสียค่าใช้จ่ายดังกล่าวไปแล้ว โจทก์ที่ 2 ย่อมมีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายที่จ่ายไปจากผู้ที่ทำละเมิดคือจำเลยที่ 1 ซึ่งอยู่ในความดูแลของจำเลยที่ 2 ได้ เพราะเป็นค่าเสียหายส่วนตัวโดยตรง แม้ในคำฟ้องระบุว่าโจทก์ได้รับความเสียหายโดยมิได้ระบุว่าโจทก์ทั้งสอง แต่คำว่าโจทก์ย่อมหมายถึงโจทก์ทั้งสองซึ่งรวมถึงโจทก์ที่ 2 ด้วย โจทก์ที่ 2 ในฐานะส่วนตัวจึงมีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายประการที่ 1 และประการที่ 2 จากจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นค่าเสียหายส่วนตัวโดยตรง ส่วนค่าเสียหายประการที่ 3 โจทก์ที่ 1 เป็นผู้เสียหายโดยตรง โดยโจทก์ที่ 2 ไม่ได้รับความเสียหายในส่วนนี้ โจทก์ที่ 2 จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายเฉพาะประการที่ 3 จากจำเลยทั้งสองเท่านั้น ฎีกาของโจทก์ทั้งสองในข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน
ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองในข้อต่อไปมีว่า โจทก์ที่ 2 ควรได้รับชดใช้ค่าเดินทางเพียงใด โดยโจทก์ทั้งสองฎีกาว่า โจทก์ที่ 1 จำเป็นต้องใช้บริการรถยนต์แท็กซี่ในการเดินทางจากบ้านไปโรงเรียนหรือโรงพยาบาลและจากโรงเรียนหรือโรงพยาบาลกลับบ้านเป็นเวลา 21 วัน วันละ 300 บาท เป็นเงิน 6,300 บาท โดยโจทก์ทั้งสองมีนายแพทย์นิคม เป็นพยานเบิกความว่า โจทก์ที่ 1 ถูกนำตัวไปรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลบางปะกอก 3 ตั้งแต่วันที่ 23 พฤศจิกายน 2544 นายแพทย์วิวัฒน์ ผู้ตรวจรักษาทำความเห็นว่าให้หยุดพักรักษาตัวตั้งแต่วันที่ 23 พฤศจิกายน ถึงวันที่ 13 ธันวาคม 2544 ตามใบรับรองแพทย์ แต่โจทก์ที่ 1 เบิกความว่า โจทก์ที่ 1 พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเพียง 2 วัน เนื่องจากโจทก์ที่ 1 สามารถลุกขึ้นยืนและช่วยเหลือตัวเองได้แล้วแต่ยังต้องเข้าเฝือกที่แขนซ้ายอยู่ในระหว่างนี้สามารถไปโรงเรียนได้ เท่ากับว่าอย่างเร็วที่สุดโจทก์ที่ 1 ไปโรงเรียนได้ตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน 2544 ซึ่งเป็นวันจันทร์ ระยะเวลาหลังจากนี้ได้ความจากนายแพทย์นิคมว่า โจทก์ที่ 1 ไมได้ไปพบแพทย์อีกเลย จนกระทั่งวันที่ 24 ธันวาคม 2544 โจทก์ที่ 1 จึงไปพบแพทย์เพื่อให้ถอนเฝือกออกจากแขน และได้ความจากนายแพทย์นิคมว่า โจทก์ที่ 1 สามารถได้รับการถอดเฝือกได้ตั้งแต่วันที่ 13 ธันวาคม 2544 แต่โจทก์ที่ 1 ไปให้แพทย์ทำการถอดเฝือกเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2544 โดยโจทก์ที่ 1 ไปให้แพทย์ถอดเฝือกช้าเอง ดังนั้น การที่โจทก์ที่ 1 ยังคงเข้าเฝือกต่อไปตั้งแต่วันที่ 14 ถึง 24 ธันวาคม 2544 จึงเป็นการกระทำที่เกินกว่าความจำเป็นของโจทก์ที่ 1 เอง จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่ารถยนต์แท็กซี่ในระหว่างนี้ เมื่อหักวันหยุดราชการระหว่างวันที่ 24 พศจิกายน ถึงวันที่ 13 ธันวาคม 2544 ออกแล้ว คงมีวันที่โจทก์ที่ 1 จำเป็นต้องเดินทางโดยรถยนต์แท็กซี่คือวันที่ 24 พฤศจิกายน 2544 เป็นวันอาทิตย์ ค่ารถยนต์แท็กซี่กลับบ้าน 1 เที่ยว วันที่ 25 ถึง 29 พฤศจิกายน 2544 ไปกลับระหว่างบ้านกับโรงเรียน 5 วัน 10 เที่ยว วันที่ 2 ถึง 4 และ 6 ธันวาคม 2544 ไปกลับระหว่างบ้านกับโรงเรียน 4 วัน 8 เที่ยว วันที่ 9, 11 ถึง 13 ธันวาคม 2544 ไปกลับระหว่างบ้านกับโรงเรียน 4 วัน 8 เที่ยว วันที่ 24 ธันวาคม 2544 ไปกลับระหว่างบ้านกับโรงพยาบาล 1 วัน 2 เที่ยว รวมทั้งสิ้น 29 เที่ยว โดยโจทก์ที่ 2 ขอคิดค่ารถยนต์แท็กซี่วันละ 300 บาท เฉลี่ยเที่ยวละ 150 บาท ซึ่งนับว่าเป็นราคาที่เหมาะสม จึงกำหนดให้ตามนี้ รวม 31 เที่ยว เป็นเงิน 4,350 บาท ฎีกาของโจทก์ทั้งสองในข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน
ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองในข้อต่อไปมีว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ลดค่าสินไหมทดแทนในการที่โจทก์ที่ 1 เสียความสามารถประกอบการงานจากที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้ 50,000 บาท เหลือ 25,200 บาท ชอบหรือไม่ เห็นว่า การกำหนดค่าสินไหมทดแทนทั้งในเวลาปัจจุบันและในอนาคตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 444 วรรคแรก จะพึงใช้โดยสถานใดเพียงใดนั้น ต้องวินิจฉัยตามสมควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด การที่จำเลยที่ 1 ใช้มีดฟันโจทก์ที่ 1 ที่ข้อมือซ้ายจนเส้นเอ็นขาด 3 เส้น ตามใบรับรองแพทย์ และต้องทำการรักษาโดยการเข้าเฝือกตามความเห็นของแพทย์เป็นเวลาอย่างน้อย 21 วัน ย่อมเป็นธรรมดาอยู่เองที่ในขณะที่เข้าเฝือกอยู่นั้น ร่างกายของโจทก์ที่ 1 มีอวัยวะไม่สมบูรณ์และหลังจากถอดเฝือกออกแล้วร่างกายย่อมอ่อนแอกว่าตอนที่โจทก์ที่ 1 ไม่ได้รับอันตรายจากการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 อย่างแน่นอน ลักษณะของความอ่อนแอนี้ได้ความจากนายแพทย์นิคมว่า หลังจากถอดเฝือกออกแล้ว แขนที่ได้รับบาดเจ็บสามารถทำงานเบาๆ ได้ เช่น เขียนหนังสือ แต่ถ้าใช้ยกของหรือออกแรงมากๆ จะมีอาการเจ็บ ซึ่งแม้นายแพทย์นิคมเบิกความว่า หลัง 21 วันแล้วแผลจะหายเป็นปกติก็ตาม แต่เส้นเอ็นก็เคยขาดมาแล้ว อวัยวะส่วนนี้ย่อมดีไม่เท่ากับขณะที่ไม่เคยขาดมาก่อน เห็นสมควรกำหนดค่าสินไหมทดแทนในส่วนนี้เป็นเงิน 50,000 บาท ตามที่ศาลชั้นต้นกำหนด ฎีกาของโจทก์ทั้งสองในข้อนี้ฟังขึ้น
ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองในข้อสุดท้ายมีว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 แก้ไขค่าทนายความในชั้นศาลชั้นต้นจากที่ให้จำเลยทั้งสองใช้ให้แก่โจทก์ทั้งสอง 10,000 บาท เป็นให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าทนายความในชั้นศาลชั้นต้นแก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 3,000 บาท ชอบหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161 บัญญัติให้ความรับผิดเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมเป็นดุลพินิจของศาลที่จะกำหนดให้ผู้แพ้หรือผู้ชนะเป็นฝ่ายเสียค่าฤชาธรรมเนียม หรือให้ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับไปก็ได้ โดยคำนึงถึงเหตุสมควรและความสุจริตในการสู้ความหรือการดำเนินคดีของคู่ความ โดยกำหนดค่าทนายความนั้น หาใช่พิจารณาแต่เพียงว่าทนายความไปศาลกี่นัดตามที่โจทก์ทั้งสองฎีกาไม่ เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าศาลอุทธรณ์ภาค 1 ใช้ดุลพินิจกำหนดค่าทนายความซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยทั้งสองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่ประการใดแล้ว การใช้ดุลพินิจกำหนดค่าทนายความดังกล่าวจึงเหมาะสมแล้ว ฎีกาของโจทก์ทั้งสองในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
สรุปแล้ว จำเลยทั้งสองต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 50,000 บาท และชดใช้ค่าเสียหายเป็นค่ารักษาพยาบาลโจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 3,120 บาท และค่ารถยนต์แท็กซี่เป็นเงิน 4,350 บาท รวมเป็นเงิน 7,470 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 2 รวมเนเงินทั้งสิ้น 57,470 บาท”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 50,000 บาท และร่วมกันชำระเงินจำนวน 7,470 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ตามลำดับ ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ทั้งสอง เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ทั้งสองชนะคดีในชั้นฎีกา โดยกำหนดค่าทนายความรวม 4,000 บาท