คำวินิจฉัยที่ 29/2549

แหล่งที่มา : ส่วนเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ

ย่อสั้น

ไม่มีย่อสั้น

ย่อยาว

(สำเนา)

คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๒๙/๒๕๔๙

วันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๔๙

เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)

ศาลจังหวัดลพบุรี
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง

การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดลพบุรีโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น

ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๘ ห้างหุ้นส่วนจำกัดกลุ่มผู้เลี้ยงโคนมเขื่อนป่าสักโจทก์ยื่นฟ้อง องค์การบริหารส่วนตำบลกกโก จำเลย นางสาวอัจฉรา โนนจุ้ย ที่ ๑ นางพรรณนิภาแหยมทิพย์ ที่ ๒ จำเลยร่วม ต่อศาลจังหวัดลพบุรี เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๖๔๓/๒๕๔๘ ความว่า โจทก์และจำเลยตกลงซื้อขายผลิตภัณฑ์นมพาสเจอร์ไรซ์ ชนิดจืด ขนาด ๒๐๐ ซีซี แบบถุง และผลิตภัณฑ์นม ยูเอชที ชนิดจืด ขนาด ๒๐๐ ซีซี แบบกล่อง หลายงวดหลายครั้ง โดยโจทก์และจำเลยมีข้อตกลงกันว่าจำเลยจะชำระราคาให้แก่โจทก์ เมื่อโจทก์ส่งมอบผลิตภัณฑ์นมในแต่ละงวดการสั่งซื้อภายในกำหนด ๑๕ วัน และอย่างช้าที่สุดไม่เกิน ๒ เดือน ในการซื้อขายโจทก์มอบอำนาจให้ นางพรรณนิภา แหยมทิพย์ จำเลยร่วมที่ ๒ เป็นผู้ดำเนินการแทน เว้นแต่ในเรื่องการรับเงินค่าสินค้าผลิตภัณฑ์นมในแต่ละงวดการสั่งซื้อนั้น ให้เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลย และให้เป็นไปตามระเบียบและข้อบังคับของจำเลย แต่ปรากฏว่าเมื่อโจทก์นำส่งสินค้าตามปริมาณที่สั่งซื้อครบถ้วนแล้ว จำเลยยังค้างชำระราคาผลิตภัณฑ์นมแก่โจทก์เป็นเงิน ๕๔๓,๘๙๗.๓๒ บาท โจทก์ได้มีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระเงินแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นเงินจำนวน ๕๔๓,๘๙๗.๓๒ บาท และค่าเสียหายโดยคิดเป็นดอกเบี้ยผิดนัดคิดถึงวันฟ้องเป็นเงินจำนวน ๔,๙๑๗ บาท ขอให้บังคับจำเลยชดใช้เงินจำนวน ๕๔๘,๘๑๑.๓๒บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ต้องรับผิด เพราะจำเลยได้ชำระหนี้ผ่านนางสาวอัจฉราจำเลยร่วมที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการติดต่อซื้อขายผลิตภัณฑ์นม ยูเอชที กับจำเลย ในนามโจทก์ในปีพ.ศ. ๒๕๔๕ และนางพรรณนิภา จำเลยร่วมที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการติดต่อซื้อขายผลิตภัณฑ์นม ยูเอชที กับจำเลย ในนามโจทก์ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๔๖-๒๕๔๗ ซึ่งดำเนินการทั้งในฐานะตัวแทนและตัวแทนเชิดของโจทก์ และโจทก์ก็มีพฤติการณ์ที่แสดงว่ารับเอาผลการดำเนินการของนางสาวอัจฉราและนางพรรณนิภาแล้ว จึงถือว่าจำเลยได้ชำระหนี้แก่โจทก์โดยชอบด้วยกฎหมายครบถ้วนตามสัญญาแล้ว คดีของโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า ข้อพิพาทแห่งคดีนี้เป็นข้อพิพาทตามสัญญาซื้อขายนมเพื่อส่งให้กับสถานศึกษาในสังกัดและความรับผิดชอบของจำเลย จำเลยเป็นหน่วยงานทางปกครองซึ่งได้รับมอบหมายให้กระทำการแทนรัฐ มีหน้าที่ให้การศึกษาตลอดจนบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการศึกษาอันเป็นบริการสาธารณะ อันเป็นหน้าที่ของรัฐอย่างหนึ่งที่ต้องจัดให้มี สัญญาซื้อขายนมเป็นสัญญาที่เกี่ยวเนื่องกับการศึกษาอันเป็นบริการสาธารณะ ซึ่งเป็นการส่งเสริมอันเป็นองค์ประกอบสำคัญในการดำเนินการบริการสาธารณะดังกล่าวให้บรรลุผล เพื่อประโยชน์ของเยาวชนที่ศึกษาอยู่ในสถานศึกษาที่อยู่ในสังกัดของจำเลย ดังนั้น สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาทางปกครอง ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
โจทก์ทำคำชี้แจงว่า ข้อพิพาทระหว่างโจทก์และจำเลยไม่มีสภาพและลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง เพราะสัญญาพิพาทไม่มีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะหรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภค หรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ หากแต่เป็นข้อพิพาทเกี่ยวกับนิติกรรมทั่วไป คดีจึงไม่อยู่ในอำนาจของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดลพบุรีเห็นว่า จำเลยเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง เมื่อพิจารณาเนื้อหาของสัญญา เป็นการที่จำเลยสั่งซื้อผลิตภัณฑ์นมโดยมีวัตถุประสงค์ให้เด็กนักเรียนในโรงเรียนที่อยู่ในความรับผิดชอบของจำเลยได้ดื่มนม จึงเป็นการที่จำเลยในฐานะหน่วยงานทางปกครองมีหน้าที่ส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนตามความในพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ.๒๕๓๗ มาตรา ๖๗ (๖) ถือว่าหน่วยงานทางปกครองทำสัญญากับเอกชนให้เข้าดำเนินการจัดให้มีบริการสาธารณะ สัญญาพิพาทจึงเป็นสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ กรณีเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง สำหรับคดีของจำเลยร่วมทั้งสองนั้น ปรากฏว่าตามคำร้องของจำเลยที่ขอให้เรียกจำเลยร่วมทั้งสองเข้ามาในคดี จำเลยร่วมทั้งสองอาจถูกฟ้องเพื่อการใช้สิทธิไล่เบี้ยหรือเพื่อใช้ค่าทดแทนได้ หากจำเลยต้องแพ้คดี มูลคดีจึงเป็นเรื่องเกี่ยวพันกัน คดีของจำเลยร่วมทั้งสองจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองเช่นเดียวกัน
ศาลปกครองกลางเห็นว่า คดีนี้แม้จำเลยเป็นหน่วยงานทางปกครอง แต่เมื่อพิจารณาสัญญาซื้อผลิตภัณฑ์นมซึ่งเป็นการซื้อขายสินค้าปกติทั่วไป เป็นการจัดซื้อผลิตภัณฑ์นมให้เด็กนักเรียนดื่มในโรงเรียน มิใช่มีวัตถุประสงค์หลักในการจัดทำบริการสาธารณะด้านการศึกษาและมิใช่การส่งเสริมพัฒนาเด็กและเยาวชน ซึ่งต้องมุ่งเน้นการพัฒนาความรู้และสติปัญญาของเด็กและเยาวชนด้านสังคมและวัฒนธรรมเป็นประการสำคัญ สัญญาพิพาทจึงมิใช่สัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ ข้อพิพาทคดีนี้จึงมิใช่ข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ แต่สัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของเสรีภาพ ความเสมอภาคและความสมัครใจในการทำสัญญา วัตถุประสงค์เพื่อมุ่งหมายให้ได้รับสินค้าตามปริมาณและคุณภาพที่สั่งซื้อ จึงมีลักษณะเป็นสัญญาทางแพ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้ว ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องสรุปได้ว่า องค์การบริหารส่วนตำบลกกโก จำเลย ซื้อผลิตภัณฑ์นมพาสเจอร์ไรซ์ชนิดจืด ขนาด ๒๐๐ ซีซี แบบถุง และผลิตภัณฑ์นมยูเอชทีชนิดจืด ขนาด ๒๐๐ ซีซี แบบกล่อง จากโจทก์ หลายงวดหลายครั้ง โดยมีข้อตกลงกันว่าจะชำระราคาให้แก่โจทก์ เมื่อโจทก์ส่งมอบผลิตภัณฑ์นมแต่ละงวดการสั่งซื้อภายในกำหนด ๑๕ วันและอย่างช้าที่สุดไม่เกิน ๒ เดือน ในการซื้อขายโจทก์มอบอำนาจให้นางพรรณนิภา แหยมทิพย์จำเลยร่วมที่ ๒ เป็นผู้ดำเนินการแทน เว้นแต่ในเรื่องการรับเงินค่าสินค้า จำเลยได้รับสินค้าครบถ้วนแล้ว ยังค้างชำระราคาแก่โจทก์เป็นเงิน ๕๔๓,๘๙๗.๓๒ บาท โจทก์ได้มีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระเงินแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชดใช้เงินพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ ส่วนจำเลยให้การว่า จำเลยไม่ต้องรับผิด เพราะจำเลยได้ชำระหนี้ผ่านนางสาวอัจฉรา จำเลยร่วมที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการติดต่อซื้อขายผลิตภัณฑ์นม ยูเอชที กับจำเลย ในนามโจทก์ในปี พ.ศ. ๒๕๔๕ และนางพรรณนิภา จำเลยร่วมที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการติดต่อซื้อขายผลิตภัณฑ์นม ยูเอชที กับจำเลย ในนามโจทก์ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๔๖-๒๕๔๗ ซึ่งดำเนินการทั้งในฐานะตัวแทนและตัวแทนเชิดของโจทก์ และโจทก์ก็มีพฤติการณ์ที่แสดงว่ารับเอาผลการดำเนินการของนางสาวอัจฉราและนางพรรณนิภาแล้ว จึงถือว่าจำเลยได้ชำระหนี้แก่โจทก์โดยชอบด้วยกฎหมายครบถ้วนตามสัญญาแล้ว คดีของโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
คดีจึงมีประเด็นที่ต้องพิจารณาว่า สัญญาซื้อขายผลิตภัณฑ์นมระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นสัญญาทางแพ่งหรือสัญญาทางปกครอง เห็นว่า องค์การบริหารส่วนตำบลกกโก จำเลยเป็นราชการส่วนท้องถิ่น มีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มีอำนาจหน้าที่ในการพัฒนาตำบลทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ตามมาตรา ๖๖ แห่งพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. ๒๕๓๗ รวมทั้งมีหน้าที่ส่งเสริมการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม และส่งเสริมการพัฒนาสตรี เด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุ และผู้พิการ ตามมาตรา ๖๗ (๕) และ (๖) แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน และโดยที่พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองพ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๓ บัญญัติว่า “สัญญาทางปกครอง หมายความรวมถึง สัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเป็นบุคคลซึ่งกระทำการแทนรัฐ และมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภค หรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ” สัญญาซื้อขายผลิตภัณฑ์นมฉบับพิพาทนี้จึงเป็นสัญญาที่มีจำเลยซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองเป็นคู่สัญญาฝ่ายหนึ่ง แต่สัญญาทางปกครองนั้นจะต้องมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภค หรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ หรือเป็นสัญญาที่หน่วยงานทางปกครองให้โจทก์เข้าดำเนินการหรือเข้าร่วมดำเนินการบริการสาธารณะโดยตรง หรือเป็นสัญญาที่มีข้อกำหนดในสัญญาซึ่งมีลักษณะพิเศษที่แสดงถึงเอกสิทธิ์ของรัฐ ทั้งนี้เพื่อให้การดำเนินกิจการทางปกครองอันเป็นบริการสาธารณะบรรลุผล สำหรับสัญญาซื้อขายผลิตภัณฑ์นมฉบับพิพาท แม้จะมีจำเลยซึ่งมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครองและเป็นคู่สัญญาฝ่ายผู้ซื้อโดยโจทก์ซึ่งเป็นคู่สัญญาฝ่ายผู้ขายจะต้องส่งมอบให้แก่โรงเรียนในสังกัดของจำเลยเพื่อให้เด็กนักเรียนได้ดื่ม อันเป็นหน้าที่ส่วนหนึ่งของจำเลยในการส่งเสริมการศึกษาและส่งเสริมการพัฒนาเด็ก ตามมาตรา ๖๗ (๕) และ (๖) แห่งพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. ๒๕๓๗ ก็ตาม แต่ไม่ปรากฏว่าผลิตภัณฑ์นมที่จำเลยซื้อจากโจทก์นั้นเป็นอุปกรณ์สำคัญที่จำเลยใช้ในการบริการสาธารณะ คงเป็นเพียงเครื่องมือส่วนหนึ่งในการให้บริการสาธารณะของจำเลย สัญญาซื้อขายผลิตภัณฑ์นมระหว่างจำเลยกับโจทก์จึงเป็นเพียงสัญญาจัดหาพัสดุธรรมดาที่สนับสนุนการจัดทำบริการสาธารณะเท่านั้นทั้งสัญญาดังกล่าวก็ไม่มีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภค หรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ หรือเป็นสัญญาที่หน่วยงานทางปกครองให้โจทก์เข้าดำเนินการหรือเข้าร่วมดำเนินการบริการสาธารณะโดยตรง หรือเป็นสัญญาที่มีข้อกำหนดในสัญญาซึ่งมีลักษณะพิเศษที่แสดงถึงเอกสิทธิ์ของรัฐ ทั้งนี้เพื่อให้การดำเนินกิจการทางปกครองอันเป็นบริการสาธารณะบรรลุผลแต่อย่างใด ดังนั้น สัญญาซื้อขายผลิตภัณฑ์นมฉบับพิพาทจึงมิใช่เป็นสัญญาทางปกครอง แต่เป็นสัญญาที่คู่สัญญาทำขึ้นโดยมุ่งผูกพันด้วยใจสมัครบนพื้นฐานแห่งความเท่าเทียมกัน อันเป็นสัญญาทางแพ่งที่มีหน่วยงานทางปกครองเป็นคู่สัญญาเท่านั้น ข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยและจำเลยร่วมในคดีนี้จึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อันจะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง แต่เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง ห้างหุ้นส่วนจำกัดกลุ่มผู้เลี้ยงโคนมเขื่อนป่าสักโจทก์ องค์การบริหารส่วนตำบลกกโก จำเลย นางสาวอัจฉรา โนนจุ้ย ที่ ๑ นางพรรณนิภา แหยมทิพย์ ที่ ๒ จำเลยร่วม อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

(ลงชื่อ) นายปัญญา ถนอมรอด (ลงชื่อ) นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายปัญญา ถนอมรอด) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม

(ลงชื่อ) อักขราทร จุฬารัตน (ลงชื่อ) อัครวิทย์ สุมาวงศ์
(นายอักขราทร จุฬารัตน) (นายอัครวิทย์ สุมาวงศ์)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง

(ลงชื่อ) พลโท สายัณห์ อรรถเกษม (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(สายัณห์ อรรถเกษม) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร

(ลงชื่อ) พรชัย รัศมีแพทย์
(นายพรชัย รัศมีแพทย์)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ

Share