แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
การใช้สายลับล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนเป็นเพียงการกระทำเท่าที่จำเป็นและสมควรในการแสวงหาพยานหลักฐานในการกระทำความผิดของจำเลยตามอำนาจใน ป.วิ.อ. มาตรา 2 (10) ชอบที่เจ้าพนักงานตำรวจจะกระทำได้เพื่อให้ได้โอกาสจับกุมจำเลยพร้อมด้วยพยานหลักฐาน อันเป็นเพียงวิธีการพิสูจน์ความผิดของจำเลย ไม่เป็นการแสวงหาพยานหลักฐานโดยมิชอบ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66 และคืนธนบัตรจำนวน 200 บาท ที่ใช้ล่อซื้อของกลางแก่เจ้าของ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง (ที่ถูก มาตรา 15 วรรคหนึ่ง (เดิม)), 66 วรรคหนึ่ง (ที่ถูก มาตรา 66 วรรคหนึ่ง (ที่แก้ไขใหม่)) จำคุก 4 ปี คืนธนบัตร 200 บาท ที่ใช้ล่อซื้อของกลางแก่เจ้าของ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำเลยเมทแอมเฟตามีน เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ซึ่งมีอัตราโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน (ที่ถูกต้องระบุตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90) นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยพร้อมยึดได้เมทแอมเฟตามีน 1 เม็ด น้ำหนัก 0.096 กรัม และธนบัตรฉบับละ 100 บาท 2 ฉบับ เป็นของกลาง มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนหรือไม่ โจทก์มีพันตำรวจโทแหลม สิบตำรวจตรีประยูรและสิบตำรวจตรีศกลวรรณผู้ร่วมตรวจค้นและจับกุมเบิกความเป็นพยานว่า ก่อนเกิดเหตุสืบทราบว่าจำเลยลักลอบจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนที่บ้านเกิดเหตุ จึงขอหมายค้นจากศาลชั้นต้น วันเวลาเกิดเหตุได้วางแผนล่อซื้อจับกุม โดยนำธนบัตรฉบับละ 100 บาท 2 ฉบับ ไปลงบันทึกในรายงานประจำวันรับแจ้งเป็นหลักฐาน และถ่ายสำเนาไว้แล้วมอบให้สายลับไปล่อซื้อเมทแอมเฟตามีน โดยสิบตำรวจตรีประยูรซุ่มดูที่กำแพงปูนเยื้องหน้าบ้านที่เกิดเหตุประมาณ 10 เมตร เห็นสายลับเดินเข้าไปพบจำเลย สายลับพูดคุยกับจำเลยแล้วยื่นธนบัตรฉบับละ 100 บาท 2 ฉบับ ให้จำเลย จากนั้นจำเลยหยิบสิ่งของออกจากข้างตัวส่งให้สายลับ สายลับรับสิ่งของแล้วพูดคุยกับจำเลยได้สักครู่หนึ่งจึงออกมาพบสิบตำรวจตรีประยูร และมอบเมทแอมเฟตามีน 1 เม็ดให้จากนั้นสิบตำรวจตรีประยูรแจ้งทางวิทยุสื่อสารให้พันตำรวจโทแหลมกับพวกทราบ แล้วเข้าไปควบคุมตัวจำเลยไว้ เมื่อตรวจค้นบ้านที่เกิดเหตุและตัวจำเลยพบถุงพลาสติกชนิดรูดปิดมีคราบเมทแอมเฟตามีนที่ข้างที่นอนจำเลยและพบธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนที่กระเป๋ากางเกงด้านขวาของจำเลย เห็นว่า พยานโจทก์ทั้งสามเป็นเจ้าพนักงานตำรวจซึ่งปฏิบัติราชการตามหน้าที่ เมื่อสืบทราบว่าจำเลยจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนที่บ้านเกิดเหตุก็ขอหมายค้นและวางแผนล่อซื้อจับกุม เชื่อว่าพยานโจทก์ทั้งสามสืบทราบว่าจำเลยลักลอบจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจริง ไม่ปรากฏว่าพยานโจทก์ทั้งสามมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน จึงไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าจะเบิกความปรักปรำจำเลย ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางวัน สิบตำรวจตรีประยูรแอบซุ่มดูการล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนของกลางที่กำแพงรั้วบ้านที่เกิดเหตุห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 10 เมตร เมื่อพิเคราะห์ภาพถ่ายที่เกิดเหตุหมาย จ.5 เห็นได้ว่าบริเวณซุ่มดูสามารถมองเห็นแคร่หน้าบ้านที่เกิดเหตุได้ชัดแจน เชื่อว่าสิบตำรวจตรีประยูรเห็นการล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนระหว่างสายลับกับจำเลย เมื่อสายลับล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนได้แล้ว สิบตำรวจตรีประยูรก็เข้าไปในบ้านที่เกิดเหตุทันทีอันเป็นระยะเวลากระชั้นชิดต่อเนื่องกันและควบคุมตัวจำเลยไว้ เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจตรวจค้นบ้านที่เกิดเหตุก็พบถุงพลาสติกมีคราบเมทแอมเฟตามีนที่ข้างที่นอนจำเลย และค้นตัวจำเลยพบธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อในกระเป๋ากางเกงด้านขวาของจำเลย คำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสามจึงรับฟังได้พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักมั่นคง ที่จำเลยฎีกาว่า พันตำรวจโทแหลมและสิบตำรวจตรีศกลวรรณ เบิกความแตกต่างกันเกี่ยวกับการเดินทางออกจากสถานีตำรวจ และสิบตำรวจศกลวรรณ เบิกความว่าพยานลงลายมือชื่อในบันทึกการตรวจค้นและจับกุมเอกสารหมาย จ.6 ที่บ้านที่เกิดเหตุ ขัดแย้งกับคำเบิกความของพันตำรวจโทแหลมที่เบิกความว่าบันทึกการตรวจค้นและจับกุมเอกสารหมาย จ.6 ทำขึ้นที่สถานีตำรวจ เห็นว่า ข้อแตกต่างและขัดแย้งดังกล่าวเป็นเพียงรายละเอียดไม่ถึงกับทำให้คำเบิกความของพันตำรวจโทแหลมและสิบตำรวจตรีศกลวรรณมีน้ำหนักลดน้อยลง ที่จำเลยฎีกาว่า สายลับไม่ได้ร่วมประชุมวางแผนด้วยจึงไม่ทราบว่าการล่อซื้อเป็นอย่างไรและต้องทำอย่างไรนั้น เห็นว่า แม้สายลับจะไม่ได้ร่วมประชุมวางแผนด้วย แต่สายลับเดินทางไปพร้อมสิบตำรวจตรีประยูร ดังนั้น ระหว่างทางสิบตำรวจประยูรสามารถนัดแนะกับสายลับได้ ดังเห็นได้จากเมื่อสายลับล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนได้แล้วสายลับได้นำเมทแอมเฟตามีนมาให้สิบตำรวจตรีประยูร การที่สายลับไม่ได้ร่วมประชุมวางแผนด้วยจึงไม่เป็นพิรุธ ที่จำเลยฎีกาว่าการให้สายลับไปล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนเป็นเพียงการกระทำเท่าที่จำเป็นและสมควรในการแสวงหาพยานหลักฐานในการกระทำความผิดของจำเลยตามอำนาจในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (10) ชอบที่เจ้าพนักงานตำรวจจะกระทำได้เพื่อให้ได้โอกาสจับกุมจำเลยพร้อมด้วยพยานหลักฐาน ดังนั้น การใช้สายลับไปล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยจึงเป็นเพียงวิธีการพิสูจน์ความผิดของจำเลย ไม่เป็นการแสวงหาพยานหลักฐานโดยมิชอบ ที่จำเลยฎีกาว่า สิบตำรวจตรีประยูรไม่ได้ยินว่าสายลับและจำเลยพูดคุยอะไรกันกับเห็นจำเลยส่งสิ่งของให้สายลับแต่ไม่ทราบว่าเป็นอะไร จึงยังไม่พอฟังว่าจำเลยกระทำความผิด นั้น เห็นว่า แม้สิบตำรวจตรีประยูรจะไม่ได้ยินว่าสายลับและจำเลยพูดคุยอะไรกันและไม่รู้ว่าสิ่งของที่จำเลยส่งให้สายลับเป็นอะไร แต่หลังจากที่สายลับล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนได้แล้ว สายลับได้นำเมทแอมเฟตามีนไปให้สิบตำรวจตรีประยูรทันที เชื่อได้ว่าสายลับและจำเลยพูดคุยซื้อขายเมทแอมเฟตามีนกันและจำเลยส่งมอบเมทแอมเฟตามีนให้สายลับ คำเบิกความของสิบตำรวจประยูรจึงมีน้ำหนักรับฟังได้ และที่จำเลยฎีกาว่า ชั้นสอบสวนไม่ได้สอบสวนสายลับเป็นพยาน และโจทก์ไม่ได้นำสายลับมาเบิกความเป็นพยาน คำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสามจึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้นั้น เห็นว่า แม้ในชั้นสอบสวนพนักงานสอบสวนจะไม่ได้สอบสวนสายลับเป็นพยานและโจทก์ไม่ได้นำสายลับมาเบิกความเป็นพยาน แต่โจทก์ก็มีสิบตำรวจตรีประยูร ซึ่งเป็นประจักษ์พยานที่รู้เห็นการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของจำเลยมาเบิกความเป็นพยาน คำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสามจึงมีน้ำหนักรับฟังได้ พยานหลักฐานของจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาลงโทษจำเลยนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน