คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6012/2550

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 3 รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุไว้จากจำเลยที่ 1 โดยตกลงว่าจะใช้ค่าสินไหมทดแทนต่อบุคคลภายนอกแทนจำเลยที่ 1 ซึ่งจะต้องรับผิดชอบต่อบุคคลภายนอก จึงเป็นการประกันภัยค้ำจุนตาม ป.พ.พ. มาตรา 887 วรรคหนึ่ง บริษัท ซ. ได้ว่าจ้างให้จำเลยที่ 1 ทำการขนส่งสินค้าของบริษัท ซ. ซึ่งเอาประกันภัยไว้กับโจทก์โดยรถยนต์บรรทุกคันดังกล่าว แม้โจทก์จะไม่ได้เป็นคู่สัญญากับจำเลยที่ 3 และตามกรมธรรม์ไม่ได้ระบุให้โจทก์เป็นผู้รับประโยชน์ จำเลยที่ 3 ผู้รับประกันภัยย่อมต้องรับผิดในนามของจำเลยที่ 1 ผู้เอาประกันภัยเพื่อวินาศภัยอันเกิดขึ้นแก่บริษัท ซ. ซึ่งจำเลยที่ 1 ผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบ โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับช่วงสิทธิจากบริษัท ซ. ชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยที่ 3 โดยตรงตามมาตรา 887

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการรับประกันวินาศภัยทุกประเภท จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการขนส่งและขนถ่ายสินค้า มีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ซึ่งต้องรับผิดในบรรดาหนี้สินของจำเลยที่ 1 ไม่มีจำกัดจำนวน จำเลยที่ 3 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการรับประกันวินาศภัยทุกประเภท จำเลยที่ 3 เป็นผู้รับประกันภัยความรับผิดในการประกอบธุรกิจบริการรถรับจ้างขนส่งสินค้าของจำเลยที่ 1 ที่มีต่อบุคคลภายนอกที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ 20 มิถุนายน 2545 จนถึงวันที่ 20 มิถุนายน 2546 เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2545 บริษัทซีอาร์ที ดิสเพลย์ เทคโนโลยี จำกัด ได้เอาประกันภัยแบบเปิดไว้ต่อโจทก์ โดยโจทก์สัญญาว่า ในระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2545 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2545 โจทก์จะให้ความคุ้มครองความเสียหายของสินค้าที่บริษัทดังกล่าวส่งออกไปขายต่างประเทศ หากสินค้าของบริษัทดังกล่าวได้รับความเสียหายในระหว่างการขนส่งตั้งแต่สินค้าออกจากโกดังของบริษัทดังกล่าวในประเทศไทยจนกระทั่งสินค้าถึงโกดังของผู้ซื้อในต่างประเทศ โจทก์จะชดใช้ความเสียหายให้ตามจำนวนความเสียหายที่แท้จริง แต่ไม่เกินวงเงินที่เอาประกันภัยในการขนสินค้าแต่ละเที่ยวตามกรมธรรม์ประกันภัยทางทะเลแบบเปิด ในการขนส่งสินค้าแต่ละเที่ยว บริษัทดังกล่าวจะต้องแจ้งให้โจทก์ทราบอีกครั้งหนึ่ง เพื่อที่โจทก์จะได้ออกกรมธรรม์ประกันภัยเฉพาะรายเที่ยวการขนส่งครั้งนั้นให้แก่ผู้เอาประกันภัย เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน 2545 บริษัทดังกล่าวได้แจ้งให้โจทก์ทราบและขอเอาประกันภัยทรัพย์ของตน คือ หลอดภาพโทรทัศน์ ขนาด 15 นิ้ว จำนวน 96 ไม้รองสินค้า ในการนี้โจทก์สัญญาว่า หากสินค้าได้รับความเสียหายหรือสูญหายไม่ว่าด้วยเหตุใดๆ ตั้งแต่สินค้าออกจากโกดังของบริษัทดังกล่าว ซึ่งตั้งอยู่ที่อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง ไปจนถึงโกดังของผู้ซื้อที่เมืองยันเทียน ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน โจทก์จะชดใช้ความเสียหายให้ภายในวงเงินจำนวน 155,010.25 ดอลลาร์สหรัฐหรือคิดเป็นเงินไทยจำนวน 6,738,295.13 บาท (อัตราแลกเปลี่ยนดอลลาร์สหรัฐละ 43.47 บาท) เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2545 บริษัทดังกล่าวได้ว่าจ้างให้จำเลยที่ 1 ทำการขนส่งสินค้าดังกล่าวจำนวน 1 ตู้สินค้า บรรจุหลอดภาพโทรทัศน์จำนวน 2,016 หลอดจากโรงงานไปยังท่าเรือแหลมฉบัง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี จำเลยที่ 1 ตกลงรับจ้างโดยใช้รถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 70-1474 ระยอง และรถพ่วงหมายเลขทะเบียน 70-6287 ชลบุรี มีนายวิรัตน์ หนองใหญ่ ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับ นายวิรัตน์ได้ขับรถยนต์คันดังกล่าวแล่นไปตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 7 จากอำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง มุ่งหน้าไปท่าเรือแหลมฉบัง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เมื่อรถยนต์คันดังกล่าวแล่นไปถึงปากทางเข้าท่าเรือแหลมฉบับ นายวิรัตน์ได้ขับรถด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะการณ์เช่นว่านั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์และนายวิรัตน์อาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ กล่าวคือ นายวิรัตน์จะต้องขับรถยนต์โดยไม่ใช้ความเร็วสูงเนื่องจากรถยนต์บรรทุกหนัก โดยต้องใช้ความเร็วให้เหมาะสมกับสภาพของรถยนต์บรรทุกในขณะนั้น และเมื่อมีเหตุจำเป็นต้องจอดรถจะต้องสามารถจอดรถได้โดยปลอดภัย แต่ด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังของนายวิรัตน์ นายวิรัตน์หาได้ขับรถในลักษณะดังกล่าวไม่ โดยนายวิรัตน์ขับรถด้วยความเร็วสูงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดและไม่เหมาะสมกับสภาพรถยนต์บรรทุกหนัก เมื่อรถยนต์แล่นไปถึงบริเวณแยกบ้านทุ่ง ในขณะนั้นถนนด้านที่นายวิรัตน์ขับรถไปให้สัญญาณไฟจราจรสีแดง ซึ่งนายวิรัตน์จะต้องหยุดรถยนต์คันที่ตนขับ ปรากฏว่าในขณะนั้นมีรถยนต์คันอื่นจอดติดสัญญาณไฟจราจรสีแดงอยู่ นายวิรัตน์ไม่สามารถหยุดรถได้ เนื่องจากบริเวณนั้นเป็นเนินลงสะพานและรถยนต์ที่นายวิรัตน์ขับแล่นมาด้วยความเร็วสูง นายวิรัตน์จึงหักพวงมาลัยหลบลงไหล่ถนนด้านซ้าย ทำให้รถยนต์คันดังกล่าวพลิกตะแคงข้างถนนเป็นเหตุให้ตู้สินค้าและหลอดภาพโทรทัศน์ที่บรรจุอยู่ในตู้สินค้าได้รับความเสียหาย 2,016 หลอด ความเสียหายของสินค้าดังกล่าวเกิดขึ้นจากการกระทำโดยประมาทเลินเล่อของนายวิรัตน์ผู้เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ในฐานะนายจ้างจึงต้องร่วมกันรับผิดกับลูกจ้างซึ่งได้กระทำไปในทางการที่จ้าง และจำเลยที่ 2 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ผู้มีความรับผิดตามกฎหมายในภาระหนี้สินของจำเลยที่ 1 โดยไม่จำกัดจำนวน ต้องร่วมรับผิดชดใช้ความเสียหายกับจำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 3 ในฐานะผู้รับประกันภัยความรับผิดของจำเลยที่ 1 ย่อมต้องร่วมรับผิดชดใช้ความเสียหายแก่บริษัทดังกล่าวด้วย เพื่อเป็นการบรรเทาความเสียหาย บริษัทดังกล่าวได้นำซากหลอดภาพโทรทัศน์ดังกล่าวทั้งหมดออกประมูลขายทอดตลาด ปรากฏว่าสามารถขายซากหลอดภาพได้เป็นเงิน 60,000 บาท บริษัทดังกล่าวได้เรียกร้องให้โจทก์ชดใช้ความเสียหายตามสัญญาประกันภัยเป็นเงิน 2,211,376.24 บาท โจทก์พิจารณาแล้วเห็นว่า ความเสียหายเกิดขึ้นจากการขนส่งและเกิดขึ้นก่อนส่งมอบสินค้าที่ปลายทางซึ่งกรมธรรม์ประกันภัยมีผลคุ้มครอง และรายการความเสียหายที่เรียกร้องมาดังกล่าวเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในเงื่อนไขของกรมธรรม์ประกันภัย โจทก์จึงใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่บริษัทดังกล่าวเป็นเงิน 2,211,376.24 บาท เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2546 โจทก์จึงเป็นผู้รับช่วงสิทธิในอันที่จะเรียกร้องค่าเสียหายดังกล่าวจากจำเลยทั้งสาม ก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์ได้ติดตามเรียกร้องให้จำเลยทั้งสามชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์แล้ว จำเลยที่ 1 และที่ 2 แจ้งว่าให้ไปเรียกร้องเอาจากจำเลยที่ 3 ในฐานะผู้รับประกันภัยของตนแทน เมื่อโจทก์ไปเรียกร้องจากจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 กลับปฏิเสธความรับผิด ไม่ยอมชดใช้ความเสียหายแก่โจทก์ โจทก์ขอคิดดอกเบี้ยจากจำเลยทั้งสามในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 2,211,376.24 บาท นับแต่วันที่โจทก์ได้จ่ายเงินค่าสินไหมทดแทน คือวันที่ 26 มิถุนายน 2546 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ คิดจนถึงวันฟ้องรวมเวลา 141 วัน เป็นดอกเบี้ย 64,067.32 บาท รวมเงินต้นกับดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง 2,275,445.56 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวน 2,275,445.56 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 2,211,376.24 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้ครบถ้วน
จำเลยทั้งสามขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน 2,275,445.56 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 2,221,376.24 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท และให้ยกฟ้องจำเลยที่ 3 ค่าฤชาธรรมเนียมส่วนของจำเลยที่ 3 ให้เป็นพับ
โจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติได้ว่า โจทก์ได้รับประกันภัยสินค้าคือ หลอดภาพโทรทัศน์ 2,016 หลอด ในวงเงิน 6,738,295.13 บาท ไว้ต่อบริษัทซีอาร์ที ดิสเพลย์ เทคโนโลยี จำกัด โดยคุ้มครองสินค้าที่ขนส่งตั้งแต่สินค้าออกจากโกดังของบริษัทดังกล่าวในประเทศไทยจนกระทั่งสินค้าถึงโกดังของผู้ซื้อในต่างประเทศตามกรมธรรม์ประกันภัยแบบเปิดและกรมธรรม์ประกันภัยสินค้าเฉพาะรายเที่ยวเอกสารหมาย จ.4 และ จ.5 ต่อมาในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2545 บริษัทดังกล่าวได้ว่าจ้างให้จำเลยที่ 1 ทำการขนส่งสินค้าดังกล่าวจำนวน 1 ตู้สินค้า จากโรงงานของบริษัทดังกล่าวซึ่งตั้งอยู่ที่อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง ไปยังท่าเรือแหลมฉบัง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี จำเลยที่ 1 ตกลงรับจ้างโดยใช้รถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 70-1474 ระยอง และรถพ่วงหมายเลขทะเบียน 70-6287 ชลบุรี มีนายวิรัตน์ หนองใหญ่ ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับและจำเลยที่ 1 ได้เอาประกันภัยความรับผิดสำหรับรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 70-1474 ระยอง ไว้ต่อจำเลยที่ 3 ระยะเวลา 1 ปี เริ่มวันที่ 20 มิถุนายน 2545 สิ้นสุดวันที่ 20 มิถุนายน 2546 ตามตารางกรมธรรม์เอกสารหมาย จ.20 วันที่ 15 พฤศจิกายน 2545 นายวิรัตน์ได้ขับรถโดยประมาทเลินเล่อทำให้รถยนต์บรรทุกคันดังกล่าวแล่นลงไหล่ทางที่บริเวณปากทางเข้าท่าเรือแหลมฉบัง รถยนต์บรรทุกพลิกตะแคง เป็นเหตุให้สินค้าที่บรรจุมาได้รับความเสียหายและโจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บริษัทดังกล่าว ซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยแล้ว โจทก์จึงรับช่วงสิทธิมาฟ้องจำเลยทั้งสาม คดีในส่วนที่เกี่ยวกับความรับผิดของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่อโจทก์ โจทก์และจำเลยที่ 1 ที่ 2 ไม่อุทธรณ์คดีเกี่ยวกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ดังกล่าวจึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง คงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์และจำเลยที่ 1 ที่ 2 ว่าจำเลยที่ 3 ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ใช้ค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวแก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า สัญญาประกันภัยระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 ตามเอกสารแนบท้ายตารางกรมธรรม์เอกสารหมาย จ.20 ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของกรมธรรม์ดังกล่าวได้ระบุได้ความว่า กรมธรรม์ฉบับนี้คุ้มครองถึงความเสียหายของสินค้าของบุคคลอื่นที่บรรจุอยู่ในตู้สินค้าซึ่งผู้เอาประกันภัยได้รับว่าจ้างให้ทำการขนส่งโดยรถยนต์บรรทุกของผู้เอาประกันตามหมายเลขทะเบียนที่ระบุไว้คือรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 70-1474 ระยอง ดังกล่าว โดยจำกัดความรับผิดสำหรับสินค้าและตู้สินค้าในวงเงิน 3,000,000 บาท ต่อเหตุการณ์ครั้งหนึ่ง ทั้งตามตารางกรมธรรม์ดังกล่าวก็ระบุได้ชัดว่าประกันภัยความรับผิดต่อบุคคลภายนอกสำหรับรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 70-1474 ระยอง แสดงว่าจำเลยที่ 3 รับประกันภัยไว้จากจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 3 ตกลงว่าจะใช้ค่าสินไหมทดแทนต่อบุคคลภายนอกแทนจำเลยที่ 1 ผู้เอาประกันภัย ซึ่งจะต้องรับผิดชอบต่อบุคคลภายนอกการประกันภัยดังกล่าวจึงเป็นการประกันภัยค้ำจุนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 887 วรรคหนึ่ง ดังนี้ แม้โจทก์จะไม่ได้เป็นคู่สัญญากับจำเลยที่ 3 และตามกรมธรรม์ดังกล่าว จำเลยที่ 1 ไม่ได้ระบุให้โจทก์เป็นผู้รับประโยชน์ก็ตาม แต่เมื่อการประกันภัยดังกล่าวเป็นการประกันภัยค้ำจุน และความเสียหายนั้นมีจำนวนไม่เกินวงเงินที่จำเลยที่ 3 ต้องรับผิดชอบ จำเลยที่ 3 ผู้รับประกันภัยย่อมต้องรับผิดในนามของจำเลยที่ 1 ผู้เอาประกันภัยเพื่อความวินาศภัยอันเกิดขึ้นแก่บริษัทซีอาร์ที ดิสเพลย์ เทคโนโลยี จำกัด ซึ่งจำเลยที่ 1 ผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบ ทั้งบริษัทซีอาร์ที ดิสเพล เทคโนโลยี จำกัด บุคคลผู้เสียหายชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนตามที่ตนควรจะได้นั้นจากจำเลยที่ 3 ผู้รับประกันภัยโดยตรงตามมาตรา 887 ดังกล่าว ที่จำเลยที่ 3 อ้างว่าตามเอกสารแนบท้ายตารางกรมธรรม์เอกสารหมาย จ.20 มีข้อตกลงพิเศษว่ากรมธรรม์นี้จะไม่รับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น กรณีทรัพย์สินที่บรรทุกนั้นมีกรมธรรม์ประกันภัยชนิดอื่นหรือประเภทอื่นรับผิดชอบอยู่แล้ว จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์นั้น เห็นว่า จำเลยที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การและจำเลยที่ 3 ไม่ได้ถามค้านพยานโจทก์ถึงข้อยกเว้นความรับผิดข้อนี้ไว้ให้ชัดแจ้ง ทั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางไม่ได้ยกปัญหาข้อนี้ขึ้นมาวินิจฉัยดังนี้ ถือได้ว่าอุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 ดังกล่าวเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ ศาลฎีกาแผนกทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศจึงไม่รับวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 45 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง จำเลยที่ 3 จึงต้องรับผิดต่อบริษัทซีอาร์ที ดิสเพลย์ เทคโนโลยี จำกัด และต่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับช่วงสิทธิจากบริษัทซีอาร์ที ดิสเพลย์ เทคโนโลยี จำกัด จำเลยที่ 3 จึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ใช้ค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวแก่โจทก์ ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 3 นั้น ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์และจำเลยที่ 1 ที่ 2 ฟังขึ้น
ส่วนที่จำเลยที่ 3 แก้อุทธรณ์ว่าคดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแพ่งไม่อยู่ในอำนาจของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางนั้น เห็นว่า แม้จำเลยที่ 3 จะได้บรรยายโต้แย้งเรื่องนี้ไว้ในคำให้การของจำเลยที่ 3 แต่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งไม่รับคำให้การของจำเลยที่ 3 ดังกล่าว ข้อโต้แย้งเรื่องนี้ในคำให้การดังกล่าวย่อมตกไป จากนั้นเมื่อศาลดังกล่าวดำเนินกระบวนพิจารณาต่อมา จำเลยที่ 3 ก็มิได้ยกเรื่องนี้ขึ้นโต้แย้งอีก แสดงว่าจำเลยที่ 3 ยอมรับอำนาจศาลและไม่มีปัญหาเรื่องอำนาจศาลอีกต่อไป เมื่อจำเลยที่ 3 เพิ่งยกเรื่องนี้ขึ้นมาในชั้นอุทธรณ์จึงถือว่าล่วงเลยเวลาที่จะพิจารณาปัญหานี้แล้ว ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศไม่อาจส่งให้ประธานศาลฎีกาวินิจฉัยได้”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน 2,275,445.56 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 2,211,376.24 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 14 พฤศจิกายน 2545) เป็นต้นจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 6,000 บาท ให้จำเลยที่ 3 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นนี้แทนโจทก์และจำเลยที่ 1 ที่ 2 โดยกำหนดค่าทนายความแก่โจทก์ 3,000 บาท และแก่จำเลยที่ 1 ที่ 2 จำนวน 3,000 บาท

Share