คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4181/2550

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

พ.ร.บ.ศุลกากรฯ มิได้บัญญัติว่าการขอคืนเงินอากรที่ได้รับยกเว้นอากรจะต้องยื่นคำร้องขอคืนตามแบบที่กำหนดไว้ ต่างกับการขอคนภาษีอากรตาม ป.รัษฎากร ซึ่งมาตรา 27 ตรี แห่ง ป.รัษฎากรให้ยื่นคำร้องขอคืนตามแบบที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด เว้นแต่จะมีบทบัญญัติเป็นอย่างอื่น ดังนั้น การขอคืนเงินอากรที่ได้รับยกเว้นอากรจึงไม่ต้องยื่นคำร้องตามแบบที่กำหนดไว้ แม้ใบขอคืนเงินจะระบุแต่ชื่อโจทก์และจำนวนเงินอากรที่ขอคืนเท่านั้น มิได้ระบุรายละเอียดอื่น เช่น เลขประจำตัวผู้เสียภาษี เลขที่ใบขนสินค้าที่อ้างว่าได้ชำระอากรโดยผิดหลง และเลขที่บัญชีธนาคารที่ประสงค์จะให้จำเลยโอนเงินตามจำนวนที่ขอคืน แต่จำเลยก็ต้องพิจารณาว่าจะต้องคืนเงินอากรแก่โจทก์หรือไม่ เมื่อจำเลยพิจารณาแล้วไม่คืนเงินอากรแก่โจทก์ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้อง
พ.ร.ก.พิกัดอัตราศุลกากรฯ ภาค 4 ของที่ได้รับยกเว้นอากรประเภทที่ 13 ต้องเป็นยุทธภัณฑ์ที่ใช้ในทางราชการ เมื่อได้ความว่ามีการทำสัญญาซื้อขายสินค้าระหว่างโจทก์กับกรมอู่ทหารเรือ และกระทรวงกลาโหมมีหนังสือถึงอธิบดีจำเลยขอยกเว้นค่าอากรสำหรับสินค้าพิพาทที่นำเข้าตามสัญญาซื้อขาย เนื่องจากเป็นยุทธภัณฑ์ที่ใช้ในราชการทหาร ต่อมากรมอู่ทหารเรือบอกเลิกสัญญาเนื่องจากสินค้าที่โจทก์ส่งมอบมิใช่สินค้าตามที่กำหนดในสัญญาซื้อขาย สัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับกรมอู่ทหารเรือจึงเป็นอันเลิกกัน คู่สัญญาแต่ละฝ่ายย่อมกลับคืนสู่ฐานะเดิม ตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 สินค้าพิพาทจึงมิใช่ยุทธภัณฑ์ที่ใช้ในราชการในขณะที่นำเข้ามาในราชอาณาจักร ไม่ได้รับยกเว้นอากรขาเข้าตาม พ.ร.ก.ดังกล่าว แม้ภายหลังกรมอู่ทหารเรือจะทำสัญญาซื้อขายใหม่กับโจทก์โดยถือคุณสมบัติของสินค้าเหมือนเดิมทุกประการ ก็เป็นกรณีที่จะได้รับยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับสินค้าที่นำเข้าตามสัญญาซื้อขายใหม่ การที่โจทก์นำสินค้าพิพาทที่นำเข้ามาในราชอาณาจักร โดยผ่านพิธีการทางศุลกากรและชำระค่าอากรขาเข้าไปแล้วเพราะไม่ได้เป็นยุทธภัณฑ์ที่ใช้ในทางราชการมาส่งมอบให้กรมอู่ทหารเรือตามสัญญาซื้อขายฉบับใหม่ ไม่ทำให้สินค้าพิพาทตามสัญญาเดิมที่ไม่ได้รับยกเว้นอากรขาเข้ากลายเป็นได้รับยกเว้นอากรขาเข้าด้วย จำเลยจึงไม่ต้องคืนเงินอากรขาเข้าพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องว่า เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2546 โจทก์ได้ทำสัญญาซื้อขายสายไฟฟ้าหุ้มยางผลิตภัณฑ์ตราอักษร DRAKA จำนวน 2 รายการ กับกองทัพเรือ โดยกรมอู่ทหารเรือ เพื่อใช้ในราชการ สินค้าดังกล่าวจึงเป็นยุทธภัณฑ์ได้รับยกเว้นภาษีอากรขาเข้าประเภทที่ 13 ตามพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ.2530 ต่อมาเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2546 สินค้าดังกล่าวได้มาถึงประเทศไทย กรมอู่ทหารเรือโจทก์ต้องปฏิบัติพิธีการศุลกากรเพื่อขอยกเว้นภาษีอากรขาเข้าตามระเบียบของจำเลยก่อน แต่เนื่องจากทางกองทัพเรือโดยกรมอู่ทหารเรือมีความจำเป็นต้องใช้ยุทธภัณฑ์ดังกล่าวเป็นการด่วน โจทก์จึงยื่นคำร้องขอผ่อนผันรับของออกไปก่อนพร้อมทั้งทำสัญญาประกันโดยวางเงินประกันค่าอากรขาเข้าและค่าภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ต่อจำเลย จำเลยได้อนุมัติให้โจทก์รับของออกไปก่อน และให้มาดำเนินการยกเว้นอากรขาเข้าในภายหลัง หลังจากได้รับสินค้าแล้วโจทก์และกองทัพเรือโดยกรมอู่ทหารเรือได้ขอขยายเวลายื่นใบขนสินค้าขาเข้าเพื่อปฏิบัติพิธีการศุลกากรให้สมบูรณ์และขอต่ออายุสัญญาประกันเรื่อยมา จนกระทั่งเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2546 กรมอู่ทหารเรือได้แจ้งให้โจทก์ทราบว่าสายไฟฟ้าหุ้มยางที่โจทก์ส่งมอบให้ไม่ถูกต้องตามที่สัญญาซื้อขายกำหนดไว้และขอบอกเลิกสัญญาซื้อขายสายไฟฟ้าหุ้มยางกับโจทก์ โจทก์ได้ยื่นเรื่องขอชำระภาษีอากรต่อจำเลย จำเลยมีคำสั่งให้นำเงินที่โจทก์ได้วางประกันไว้ในส่วนค่าอากรขาเข้าเป็นค่าภาษีอากรขาเข้าของสินค้ายุทธภัณฑ์ดังกล่าวเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2547 ต่อมาวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2547 กรมอู่ทหารเรือได้ประกาศสอบราคาซื้อสายไฟฟ้าหุ้มยางอีกครั้งหนึ่ง โดยกำหนดชนิดสายไฟฟ้าและข้อกำหนดความต้องการเหมือนกับที่โจทก์ได้ทำสัญญาซื้อขายกับกรมอู่ทหารเรือ โดยในครั้งหลังโจทก์ได้เสนอราคาและได้รับสิทธิขายสินค้าให้แก่กรมอู่ทหารเรือในราคายกเว้นศุลกากร และต่อมาโจทก์ได้ส่งมอบสายไฟฟ้าหุ้มยางให้แก่กรมอู่ทหารเรืออีกครั้งหนึ่ง โดยหมวดรับและจัดส่งศูนย์พัสดุช่างกรมอู่ทหารเรือได้ตรวจรับสายไฟฟ้าดังกล่าวแล้ว สินค้าสายไฟฟ้าหุ้มยางที่โจทก์ขายให้แก่กรมอู่ทหารเรือดังกล่าวจึงเป็นยุทธภัณฑ์อันได้รับยกเว้นภาษีอากรขาเข้าตามพิธีการศุลกากร เงินค่าภาษีอากรขาเข้าซึ่งโจทก์ได้แจ้งขอชำระต่อจำเลยและจำเลยได้นำเป็นเงินค่าภาษีอากรขาเข้าไปในครั้งแรก จึงเป็นการชำระไปโดยผิดหลงในข้อเท็จจริง โจทก์จึงมีสิทธิติดตามและเอาคืนเงินค่าภาษีดังกล่าวจากจำเลยผู้ไม่มีสิทธิยึดถือไว้ทั้งหมดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 ก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์ได้ยื่นเรื่องขอคืนภาษีอากรขาเข้าที่โจทก์ชำระไปโดยผิดหลงในชนิดของสินค้าต่อจำเลยแล้ว แต่จำเลยไม่ยอมรับใบขอคืนเงินที่โจทก์นำไปยื่นต่อจำเลย ก่อนโจทก์ขอคืนภาษีจากจำเลย กองทัพเรือโดยกรมอู่ทหารเรือได้ขอยกเว้นภาษีอากรยุทธภัณฑ์เพื่อให้จำเลยคืนอากรให้แก่โจทก์ แต่จำเลยไม่คืนอากรให้โจทก์ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินค่าอากรพร้อมดอกเบี้ยถึงวันฟ้องจำนวน 229,998.79 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 219,132 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จสิ้นแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยยังไม่ได้รับใบคำขอคืนเงินของโจทก์ดังกล่าว จำเลยจึงไม่ได้พิจารณาคำขอคืนเงินของโจทก์ว่าจะคืนหรือไม่คืนเงินให้แก่โจทก์หรือไม่เพียงใด ใบคำขอคืนเงินของโจทก์เป็นเอกสารที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายและระเบียบปฏิบัติราชการ เพราะกรอกข้อความที่เป็นสาระสำคัญไม่ครบถ้วน โดยโจทก์ไม่ได้กรอกเลขประจำตัวผู้เสียภาษีที่ใบขนสินค้าที่โจทก์อ้างว่าได้ชำระอากรโดยผิดหลง ไม่ระบุเลขที่บัญชีธนาคารที่โจทก์ประสงค์ให้จำเลยโอนเงินเข้าตามจำนวนที่โจทก์ขอคืนทั้งไม่มีหลักฐานการลงรับหนังสือตามระเบียบปฏิบัติราชการประกอบกับหน่วยงานราชการที่โจทก์อ้างว่าเป็นคู่สัญญาซื้อขายกับโจทก์ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิขอยกเว้นอากรได้ มิได้ดำเนินการเพื่อยกเว้นอากรตามจำนวนเงินที่โจทก์ขอคืนจากจำเลยโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ไม่มีสิทธิขอคืนเงินอากรจำนวน 219,132 บาท จากจำเลยเนื่องจากเงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินอากรที่โจทก์ได้ขอชำระแก่จำเลย และเจ้าหน้าที่ของจำเลยได้รับไว้โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ประกอบกับสินค้าที่โจทก์ส่งให้แก่กรมอู่ทหารเรือดังกล่าวไม่ใช่ยุทธภัณฑ์ตามสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับกองทัพเรือแต่อย่างใด หากแต่เป็นยุทธภัณฑ์ที่โจทก์ส่งให้กับกรมอู่ทหารเรือตามสัญญาซื้อขายฉบับอื่น ซึ่งกรมอู่ทหารเรือได้ทำการสอบราคาเพื่อจัดซื้อใหม่ หลังจากบอกเลิกสัญญากับโจทก์แล้ว และโจทก์ยังไม่ได้รับการพิจารณายกเว้นอากรจากกองทัพเรือซึ่งเป็นคู่สัญญากับโจทก์แต่อย่างใด สินค้าที่โจทก์ขอคืนเงินค่าภาษีอากรดังกล่าวจึงยังไม่เข้าสู่กระบวนการพิจารณายกเว้นอากร โจทก์ไม่มีสิทธิขอคืนเงิน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยคืนอากรขาเข้า 219,132 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 12 มีนาคม 2547 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะคืนเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์เสร็จสิ้น โดยดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องคือวันที่ 29 ตุลาคม 2547 ต้องไม่เกิน 10,866.79 บาท
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ข้อแรกของจำเลยมีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มิได้บัญญัติว่าการขอคืนเงินอากรที่ได้รับยกเว้นอากรจะต้องยื่นคำร้องขอคืนตามแบบที่กำหนดไว้ ต่างกับการขอคืนภาษีอากรตามประมวลรัษฎากรที่มาตรา 27 ตรี แห่งประมวลรัษฎากรบัญญัติให้ยื่นคำร้องขอคืนตามแบบที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนดเว้นแต่จะมีบทบัญญัติกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น การขอคืนเงินอากรที่ได้รับยกเว้นอากรจึงไม่ต้องยื่นคำร้องตามแบบที่กำหนดไว้ แม้ใบขอคืนเงินจะระบุแต่ชื่อโจทก์และจำนวนเงินอากรที่ขอคืนเท่านั้น มิได้ระบุรายละเอียดอื่น เช่น เลขประจำตัวผู้เสียภาษี เลขที่ใบขนสินค้าที่อ้างว่าได้ชำระอากรโดยผิดหลง เลขที่บัญชีธนาคารที่ประสงค์จะให้จำเลยโอนเงินตามจำนวนที่ขอคืน จำเลยก็ต้องพิจารณาว่าจะต้องคืนเงินอากรให้แก่โจทก์หรือไม่ เมื่อจำเลยพิจารณาแล้วไม่คืนเงินอากรให้แก่โจทก์ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยได้ อุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ข้อต่อไปของจำเลยมีว่า สินค้าพิพาทได้รับยกเว้นอากรขาเข้าหรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ.2530 ภาค 4 ของที่ได้รับยกเว้นอากรประเภทที่ 13 ต้องเป็นยุทธภัณฑ์ที่ใช้ในทางราชการเมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่ามีการทำสัญญาซื้อขายสินค้าพิพาทระหว่างโจทก์กับกรมอู่ทหารเรือ และกระทรวงกลาโหมมีหนังสือถึงอธิบดีจำเลยขอยกเว้นค่าอากรสำหรับสินค้าพิพาทที่นำเข้าตามสัญญาซื้อขายดังกล่าว เนื่องจากเป็นยุทธภัณฑ์ที่ใช้ในราชการทหาร แต่ต่อมากรมอู่ทหารเรือบอกเลิกสัญญาซื้อขายดังกล่าวเนื่องจากสินค้าที่โจทก์ส่งมอบเป็นสินค้าจากประเทศสาธารณรัฐสิงคโปร์ มิใช่สินค้าจากประเทศสหรัฐอเมริกาตามที่กำหนดไว้ในสัญญาซื้อขาย สัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับกรมอู่ทหารเรือจึงเป็นอันเลิกกัน คู่สัญญาแต่ละฝ่ายย่อมกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมตามประมวลกฎหายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 สินค้าพิพาทจึงมิใช่ยุทธภัณฑ์ที่ใช้ในทางราชการในขณะที่นำเข้ามาในราชอาณาจักร ไม่ได้รับยกเว้นอากรขาเข้าตามพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ.2530 ภาค 4 ของที่ได้รับยกเว้นอากรประเภท 13 แม้ภายหลังกรมอู่ทหารเรือจะประกาศสอบราคาและทำสัญญาซื้อขายใหม่กับโจทก์โดยถือคุณสมบัติของสินค้าเหมือนเดิมทุกประการก็เป็นกรณีที่จะได้รับยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับสินค้าที่นำเข้าตามสัญญาซื้อขายใหม่ การที่โจทก์นำสินค้าพิพาทที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรและผ่านพิธีการทางศุลกากรเสร็จสิ้นแล้ว โดยชำระค่าอากรขาเข้าเพราะไม่ได้เป็นยุทธภัณฑ์ที่ใช้ในทางราชการไปแล้วไปส่งมอบให้กรมอู่ทหารเรือตามสัญญาซื้อขายฉบับใหม่ ไม่ทำให้สินค้าพิพาทตามสัญญาเดิมที่ไม่ได้รับยกเว้นอากรขาเข้ากลายเป็นได้รับยกเว้นอากรขาเข้าไปด้วย จำเลยจึงไม่ต้องคืนเงินอากรขาเข้าพร้อมดอกเบี้ยตามฟ้องให้แก่โจทก์ ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษามานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share