คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2040/2550

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้องครั้งที่สองโดยรับข้อเท็จจริงบางส่วนตามคำให้การของจำเลยทั้งสี่ เป็นการขอลดทุนทรัพย์ฟ้องเดิมภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ และคดีนี้ศาลชั้นต้นยังไม่ได้สืบพยานโจทก์และพยานจำเลยจึงยังอยู่ภายในกำหนดเวลาที่จำเลยทั้งสี่จะแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การของจำเลยทั้งสี่เพื่อหักล้างข้ออ้างของโจทก์ได้ การแก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวจึงไม่ทำให้จำเลยทั้งสี่เสียเปรียบและหลงข้อต่อสู้แต่ประการใด
ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมฯ มาตรา 16 วรรคสี่ ที่บัญญัติว่า “ในกรณีที่มีการยื่นฟ้องคดีต่อศาลจังหวัด และคดีนั้นเกิดขึ้นในเขตของศาลแขวงและอยู่ในอำนาจของศาลแขวง ให้ศาลจังหวัดนั้นมีคำสั่งโอนคดีไปยังศาลแขวงที่มีเขตอำนาจ” นั้น แม้จะใช้ถ้อยคำว่าศาลจังหวัดก็ตาม แต่เจตนารมณ์ของกฎหมายที่บัญญัติความในวรรคสี่ไว้เนื่องจากไม่ประสงค์ให้ศาลชั้นต้นที่มีศาลแขวงตั้งอยู่ในเขตศาลนั้นรับพิจารณาคดีที่เกิดขึ้นในเขตของศาลแขวงและอยู่ในอำนาจของศาลแขวง เมื่อศาลแพ่งธนบุรีเป็นศาลชั้นต้นที่มีศาลแขวงธนบุรีและศาลแขวงตลิ่งชันตั้งอยู่ในเขตจึงต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติดังกล่าวด้วย คดีนี้โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้องโดยลดจำนวนทุนทรัพย์ลงเป็นเหตุให้คดีของโจทก์เป็นคดีที่เกิดในเขตของศาลแขวงและอยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลแขวง ศาลแพ่งธนบุรีจึงต้องมีคำสั่งโอนคดีไปยังศาลแขวงธนบุรีซึ่งเป็นศาลแขวงที่มีเขตอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันรับผิดชำระเงินจำนวน 367,575 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 253,500 บาท จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
วันที่ 19 มกราคม 2547 โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้องในส่วนของยอดหนี้ว่า จำเลยได้ชำระหนี้ให้โจทก์จำนวน 30,000 บาท และเมื่อรวมยอดต้นเงินที่ค้างชำระ และดอกเบี้ยถึงวันฟ้องแล้วเป็นเงินจำนวน 327,487.50 บาท โดยขอแก้ไขทุนทรัพย์ตามคำฟ้องเป็นจำนวน 327,487.50 บาท และขอแก้ไขคำขอท้ายฟ้องเป็นว่า ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงินจำนวน 327,487.50 บาท ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้องเป็นครั้งที่สองว่า โจทก์ได้รับเช็คมาเพียง 6 ฉบับ มิใช่ 10 ฉบับ ดังที่บรรยายในคำฟ้องครั้งแรก และในจำนวน 6 ฉบับ ที่ได้รับมาเรียกเก็บเงินได้เพียง 3 ฉบับ โดยเช็คที่เรียกเก็บเงินไม่ได้คือเช็ค 3 ฉบับ ที่โจทก์บรรยายในคำฟ้องครั้งแรก สำหรับเช็คหมายเลข 1925160 ถึง 1925163 จำเลยที่ 1 มิได้สั่งจ่ายให้แก่โจทก์และขอยกเลิกคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้องครั้งก่อนทั้งหมด โดยแก้ไขในส่วนของการชำระหนี้ใหม่ว่า ภายหลังจากนั้นมีการทยอยชำระหนี้รวม 6 ครั้ง เป็นเงิน 127,500 บาท จำเลยที่ 1 จึงค้างชำระหนี้อยู่จำนวน 274,443 บาท และแก้ไขทุนทรัพย์จากจำนวน 327,487.50 บาท เป็น 274,443 บาท กับแก้ไขคำขอท้ายฟ้องเป็นว่า ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน 274,443 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 274,443 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องได้ ยกเว้นข้อความที่ว่า “ส่วนเช็คหมายเลข 1925160 ถึง 1925163 จำเลยที่ 1 มิได้สั่งจ่ายให้แก่โจทก์แต่อย่างใด” เพราะเห็นว่าเป็นการแก้ไขตามคำให้การของจำเลยทั้งสี่ ซึ่งโจทก์สามารถที่จะนำสืบได้ในชั้นพิจารณา และเนื่องจากเมื่อแก้ไขคำฟ้องแล้วเป็นเหตุให้ทุนทรัพย์ลดลงเหลือเพียง 274,443 บาท ซึ่งไม่เกิน 300,000 บาท คดีจึงไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลชั้นต้น ให้คืนฟ้องแก่โจทก์เพื่อให้ไปฟ้องใหม่ยังศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีต่อไป ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมดแก่โจทก์
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โอนคดีไปยังศาลแขวงธนบุรี ไม่คืนค่าขึ้นศาลชั้นต้นแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำสั่งของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้องครั้งที่สองชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้องครั้งที่สองโดยรับข้อเท็จจริงบางส่วนตามคำให้การของจำเลยทั้งสี่ เป็นการขอลดทุนทรัพย์ฟ้องเดิมภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ และคดีนี้ศาลชั้นต้นยังไม่ได้สืบพยานโจทก์และพยานจำเลยจึงยังอยู่ภายในกำหนดเวลาที่จำเลยทั้งสี่จะแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การของจำเลยทั้งสี่เพื่อหักล้างข้ออ้างของโจทก์ได้ การแก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวจึงไม่ทำให้จำเลยทั้งสี่เสียเปรียบและหลงข้อต่อสู้แต่ประการใด ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสี่ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยทั้งสี่ฎีกาต่อไปว่า คำพิพากษาศาลอุทธรร์ที่วินิจฉัยว่าเมื่อโจทก์แก้ไขคำฟ้องแล้วคงมีทุนทรัพย์เพียง 274,443 บาท ไม่ถึง 300,000 บาท อันเป็นผลให้คดีไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลแพ่งธนบุรีจึงให้โอนคดีไปยังศาลแขวงธนบุรีตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 16 วรรคสี่ ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 16 วรรคสี่ ที่บัญญัติว่า “ในกรณีที่มีการยื่นฟ้องคดีต่อศาลจังหวัด และคดีนั้นเกิดขึ้นในเขตของศาลแขวงและอยู่ในอำนาจของศาลแขวงให้ศาลจังหวัดนั้นมีคำสั่งโอนคดีไปยังศาลแขวงที่มีเขตอำนาจ” นั้น แม้จะใช้ถ้อยคำว่าศาลจังหวัดก็ตาม แต่เจตนารมณ์ของกฎหมายที่บัญญัติความในวรรคสี่ไว้เนื่องจากไม่ประสงค์ให้ศาลชั้นต้นที่มีศาลแขวงตั้งอยู่ในเขตศาลนั้นรับพิจารณาคดีที่เกิดขึ้นในเขตของศาลแขวงและอยู่ในอำนาจของศาลแขวง เมื่อศาลแพ่งธนบุรีเป็นศาลชั้นต้นที่มีศาลแขวงธนบุรีและศาลแขวงตลิ่งชันตั้งอยู่ในเขตจึงต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติดังกล่าวด้วย คดีนี้โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้องโดยลดจำนวนทุนทรัพย์ลงเป็นเหตุให้คดีของโจทก์เป็นคดีที่เกิดขึ้นในเขตของศาลแขวงและอยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลแขวง ศาลแพ่งธนบุรีจึงต้องมีคำสั่งโอนคดีไปยังศาลแขวงธนบุรีซึ่งเป็นศาลแขวงที่มีเขตอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสี่ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน

Share