คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5838/2548

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ผู้เสียหายมอบหมายให้จำเลยยึดถือครอบครองรถยนต์เพื่อทำการซ่อมที่อู่ของจำเลย จำเลยจึงเป็นผู้ครอบครองรถยนต์ การที่จำเลยถอดอะไหล่และเครื่องเสียงในรถยนต์ให้บุคคลอื่นหรือนำไปขายจึงเป็นการเบียดบังเอาทรัพย์ดังกล่าวเป็นของตนและบุคคลที่สามโดยทุจริต มีความผิดฐานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334, 357 เมื่อศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่าจำเลยกระทำความผิดฐานยักยอกตามมาตรา 352 วรรคแรก แม้ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างจากที่กล่าวในฟ้องก็ไม่ใช่ข้อแตกต่างในข้อสาระสำคัญ และจำเลยมิได้หลงต่อสู้ ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานยักยอกตามที่พิจารณาได้ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสาม ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 20 สิงหาคม 2540 ถึงวันที่ 11 มกราคม 2542 วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด มีคนร้ายลักเครื่องอะไหล่รถยนต์พร้อมเครื่องเสียงหลายรายการ รวมราคา 134,000 บาท ของนายทวี พรหมฤทธิ์ ผู้เสียหายไป ต่อมาวันที่ 15 มีนาคม 2542 เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยเครื่องอะไหล่รถยนต์หลายรายการเป็นเงิน 18,200 บาท ซึ่งเป็นทรัพย์ส่วนหนึ่งของผู้เสียหายที่จำเลยนำไปขายให้แก่ผู้มีชื่อนำไปซ่อนเร้นไว้ เป็นของกลาง ทั้งนี้จำเลยเป็นคนร้ายลักทรัพย์ของผู้เสียหายไป หรือมิฉะนั้นเมื่อระหว่างวันเวลาข้างต้น ภายหลังที่คนร้ายลักทรัพย์ของผู้เสียหายถึงวันเวลาที่เจ้าพนักงานจับจำเลยได้วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยได้ช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสียหรือรับไว้ด้วยประการใดๆ ซึ่งทรัพย์ส่วนหนึ่งของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายลักไปไว้ในครอบครองแล้วนำไปจำหน่ายให้แก่ผู้มีชื่อ นำไปซ่อนเร้นไว้ โดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334, 357 ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนเป็นเงิน 115,800 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 จำคุก 2 ปี จำเลยให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 1 ปี 4 เดือน กับให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนเป็นเงิน 115,800 บาท แก่ผู้เสียหาย ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2540 นายทวี พรหมฤทธิ์ ผู้เสียหายนำรถยนต์กระบะยี่ห้อมิตซูบิชิ หมายเลขทะเบียน ป – 2291 สุราษฎร์ธานี ของผู้เสียหายไปซ่อมลูกสูบ เคาะปะผุและทำสีรถใหม่ที่อู่สุชาติการช่างของจำเลยซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลขุนทะเล อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี จำเลยได้ถอดเครื่องยนต์และอะไหล่รถยนต์ของผู้เสียหายออกจนหมดโดยไม่ได้ซ่อมรถยนต์ให้แก่ผู้เสียหาย ต่อมาวันที่ 15 มีนาคม 2542 ผู้เสียหายร้องทุกข์ดำเนินคดีแก่จำเลย เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยพร้อมยึดเครื่องอะไหล่รถยนต์เป็นของกลาง ตามบัญชีของกลางคดีอาญาเอกสารหมาย จ.3 คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานลักทรัพย์หรือไม่ โจทก์มีนายทวี พรหมฤทธิ์ ผู้เสียหายเบิกความว่า ในช่วงวันเวลาที่เกิดเหตุ พยานนำรถยนต์ของพยานไปให้จำเลยซ่อมลูกสูบ ต่อมาให้จำเลยเคาะปะผุและทำสีรถใหม่ด้วย ตกลงค่าซ่อมรวม 60,000 บาท พยานชำระเงินให้แก่จำเลยไปแล้ว 14,000 บาท หลังจากนั้นพยานไปดูรถที่อู่ซ่อมรถที่เกิดเหตุหลายครั้ง ปรากฏว่าอะไหล่และอุปกรณ์รถยนต์ของพยานถูกถอดออกไปเรื่อยๆ จนหมด สอบถามจำเลย จำเลยบอกว่า ล้อรถทั้งสี่ล้อญาติของจำเลยเอาไป วิทยุในรถลูกน้องของจำเลยเอาไปและกระบะหลังจำเลยขายไปแล้ว ส่วนอะไหล่อื่นๆ จำเลยเก็บไว้ข้างบ้าน พยานไปดูข้างบ้านพบว่า อะไหล่รถยนต์ของพยานหายไปหลายชิ้น นายอนุรักษ์ พรหมฤทธิ์ พี่ชายของผู้เสียหายเบิกความว่าพยานไปดูรถที่อู่ซ่อมรถที่เกิดเหตุกับผู้เสียหายพบว่าไม่มีการซ่อมรถของผู้เสียหายและอะไหล่รถยนต์ของผู้เสียหายได้หายไปบางส่วนจำเลยรับว่า อะไหล่รถยนต์ของผู้เสียหายบางส่วนได้ขายเป็นเศษเหล็ก บางส่วนให้ญาติของจำเลยและบางส่วนนำไปซ่อมรถยนต์คันอื่น สิบตำรวจตรีสุชาติ ดวงศิริ ผู้จับกุมจำเลยเบิกความว่า ชั้นจับกุมจำเลยให้การรับสารภาพข้อหาลักทรัพย์ ตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.11 และร้อยตำรวจโทปิยะพงษ์ บุญแก้ว พนักงานสอบสวนเบิกความว่า ชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพ พยานได้จัดทำบัญชีของกลางคดีอาญา บัญชีทรัพย์ถูกประทุษร้ายได้คืน บัญชีทรัพย์ถูกประทุษร้ายไม่ได้คืน บันทึกการตรวจยึด บันทึกการนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ และบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาไว้ ตามเอกสารหมาย จ.3 ถึง จ.6 จ.9 และ จ.14 ทั้งได้ถ่ายรูปรถยนต์ของผู้เสียหายที่อยู่ที่อู่ซ่อมรถที่เกิดเหตุไว้ ตามภาพถ่ายหมาย จ.10 มีคนเอารถยนต์ไปให้จำเลยซ่อมแล้วเกิดเหตุเช่นนี้มาแล้วหลายครั้ง บางรายนำรถยนต์ไปซ่อมที่อู่ซ่อมรถของจำเลยนานเป็นปีก็ซ่อมไม่เสร็จและอะไหล่รถยนต์หายไป แต่ไม่มีการแจ้งความร้องทุกข์ เนื่องจากจำเลยยอมชดใช้ค่าเสียหายเมื่อเรื่องมาถึงสถานีตำรวจ เห็นว่า ผู้เสียหายและนายอนุรักษ์เบิกความสอดคล้องต้องกัน มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะสิบตำรวจตรีสุชาติและร้อยตำรวจโทปิยะพงษ์เป็นเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมและสอบสวนจำเลยไม่เคยรู้จักหรือมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน จึงไม่มีเหตุระแวงสงสัยว่าจะกลั่นแกล้งปรักปรำจำเลย คำเบิกความของเจ้าพนักงานตำรวจทั้งสองสนับสนุนคำเบิกความของผู้เสียหายและนายอนุรักษ์ให้มีน้ำหนักยิ่งขึ้น ข้อนำสืบของจำเลยที่ว่า จำเลยให้การปฏิเสธในชั้นสอบสวนเจ้าพนักงานตำรวจให้จำเลยลงลายมือชื่อในเอกสารหลายฉบับโดยไม่ได้อ่านข้อความให้ฟังจำเลยอ่านหนังสือไม่ค่อยได้ ขอให้เจ้าพนักงานตำรวจอ่านให้ฟัง แต่เจ้าพนักงานตำรวจไม่อ่านให้ฟังโดยบอกว่า ไม่มีปัญหาอะไรเพราะคนรู้จักกันทั้งนั้น ให้ลงลายมือชื่อไปได้เลย คงมีแต่จำเลยเพียงปากเดียวเบิกความลอยๆ ไม่น่าเชื่อถือ โดยเฉพาะจำเลยก็ได้เบิกความยอมรับว่าได้นำกระบะรถยนต์ของผู้เสียหายไปขาย ทั้งตามบันทึกตกลงชดใช้ค่าเสียหายเอกสารหมาย จ.7 ซึ่งจำเลยเบิกความยอมรับว่า ทำไว้กับผู้เสียหายก็มีข้อความระบุว่า จำเลยได้เอากระบะท้าย กระทะล้อพร้อมยางรถยนต์ทั้งสี่ล้อ รวมทั้งอุปกรณ์และส่วนควบอื่นๆ ของรถยนต์ของผู้เสียหายไปจำหน่าย ซึ่งแม้จะฟังตามข้ออ้างของจำเลยว่า ผู้เสียหายจ่ายเงินค่าซ่อมรถให้แก่จำเลย 14,000 บาท แล้วไม่ได้ชำระอีกก็ตาม จำเลยก็ไม่มีสิทธิถอดเอาอะไหล่และเครื่องเสียงรถยนต์ของผู้เสียหายไปให้บุคคลใดๆ เอาไปขายหรือเอาไปซ่อมรถยนต์คันอื่น ที่ผู้เสียหายเบิกความว่า เหตุที่ผู้เสียหายไม่ชำระเงินให้แก่จำเลยอีกเพราะจำเลยถอดอะไหล่ อุปกรณ์รถยนต์ของผู้เสียหายออกและไม่ยอมซ่อมรถยนต์ให้แก่ผู้เสียหาย ผู้เสียหายจึงให้จำเลยนำเครื่องยนต์ตัวถังรถกลับมาใส่คืนและประกอบให้อยู่ในสภาพเดิมเพื่อจะนำรถกลับไปโดยยอมให้ถือว่า เป็นการหักกลบลบหนี้กับเงินที่ผู้เสียหายจ่ายให้แก่จำเลยไปแล้ว แต่จำเลยก็ไม่จัดการให้คำเบิกความของผู้เสียหายน่าเชื่อถือ เพราะไม่ปรากฏว่า จำเลยได้ซ่อมรถยนต์ให้แก่ผู้เสียหายแต่อย่างใด จำเลยได้แต่ถอดอะไหล่และเครื่องเสียงรถยนต์ออกไปจนหมดแล้วนำไปให้แก่บุคคลอื่น เอาไปขายและเอาไปซ่อมรถยนต์คันอื่นเท่านั้น พฤติการณ์ของจำเลยดังกล่าว ประกอบหลังเกิดเหตุจำเลยได้ตกลงชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 134,000 บาท ให้แก่ผู้เสียหายภายในกำหนดระยะเวลา 2 เดือน ตามบันทึกตกลงชดใช้ค่าเสียหายเอกสารหมาย จ.7 แต่เมื่อครบกำหนดจำเลยกลับบิดพลิ้วไม่ยอมชดใช้ให้โดยอ้างว่า ยังขายที่ดินไม่ได้ แสดงให้เห็นว่า จำเลยมีเจตนาทุจริตมาตั้งแต่ต้น กรณีจึงมิใช่เป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่ง ดังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมามีน้ำหนักมั่นคง พยานหลักฐานของจำเลยไม่สามารถฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยเอาอะไหล่และเครื่องเสียงของผู้เสียหายไปโดยทุจริต แต่เห็นว่ารถยนต์ที่ผู้เสียหายมอบให้จำเลยซ่อมได้อยู่กับจำเลยมานานถึง 1 ปีเศษ ตามพฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าผู้เสียหายมอบหมายให้จำเลยยึดถือครอบครองทรัพย์นั้นไว้ เมื่อจำเลยเป็นผู้ครอบครองรถยนต์ การที่จำเลยถอดอะไหล่และเครื่องเสียงในรถยนต์ให้บุคคลอื่นหรือนำไปขาย จึงเป็นการเบียดบังเอาทรัพย์ดังกล่าวเป็นของตนและบุคคลที่สามโดยทุจริต การกระทำของจำเลยมีความผิดฐานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334, 357 เมื่อศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่าจำเลยกระทำความผิดฐานยักยอกตามมาตรา 352 วรรคแรก แม้ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างจากที่กล่าวในฟ้องก็ไม่ใช่ข้อแตกต่างในข้อสาระสำคัญ และจำเลยมิได้หลงต่อสู้ ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานยักยอกตามที่พิจารณาได้ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสาม ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก จำคุก 2 ปี จำเลยให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสามคงจำคุก 1 ปี 4 เดือน กับให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนเป็นเงิน 115,800 บาท แก่ผู้เสียหาย

Share