แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ย่อยาว
โจทย์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ ๑๕ เมษายน พ.ศ.๒๔๕๖ จำเลยได้ทำสัญญากู้เงินโจทย์ ๑๓๐๐ บาท สัญญาจะให้ดอกเบี้ยตามธรรมเนียม เงินดอกเบี้ยยังค้างที่จำเลย ๙๒๐ บาท ขอให้จำเลยใช้ต้นเงินแลดอกเบี้ยรวม ๒๒๒๐ บาท ฯ
จำเลยให้การรับว่าได้กู้เงินของโจทย์จริง แต่แก้ว่าได้ใช้เงินให้โจทย์แล้ว ทั้งโจทย์ได้พูดกับจำเลยว่าไม่คิดเอาดอกเบี้ย ฯ
ศาลแพ่งแลศาลอุทธรณพิพากษาต้องกันฟังว่า จำเลยหาได้ใช้เงินให้โจทย์ไม่ ให้จำเลยใช้ต้นเงินแลดอกเบี้ยให้โจทย์ ๒๒๒๐ บาท แลปรากฏว่าจำเลยทั้ง ๒ ได้อย่าขาดจากสามีภรรยากันแล้ว ถ้าจะแยกกันใช้ ให้ขุนประสิทธิคดีใช้ ๒ ส่วน นางล้วนใช้ ๑ ส่วน ฯ
ขุนประสิทธิคดีจำเลยทูลเกล้า ฯ ถวายฎีกา ขอให้วินิจฉัยข้อเท็จจริง ว่าจำเลยได้ใช้เงินให้โจทย์แล้ว ทั้งโจทย์ไม่คิดจะเอาดอกเบี้ยที่จำเลย ฯ
กรรมการศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนเรื่องนี้แล้ว เห็นว่าข้อเท็จจริงในคดีเรื่องนี้คงฟังตามที่ศาลล่างพิพากษามานั้น ว่าจำเลยยังไม่ได้ใช้เงินให้โจทย์ เพราะโจทย์ยังถือหนังสือกู้อยู่จำเลยไม่มีหลักฐานอย่างไรว่าโจทย์รับเงินแล้ว ทั้งในหนังสือกู้มีข้อความชัดเจนว่าจำเลยจะใช้ดอกเบี้ยให้โจทย์ตามธรรมเนียมไม่มีเหตุผลอย่างใดจะเปลี่ยนแปลงข้อสัญญานั้นได้ ศาลล่างทั้ง ๒ พิพากษาให้จำเลยใช้ต้นเงินแลดอกเบี้ยให้โจทย์นั้นชอบแล้วให้ยกฎีกาของจำเลยเสีย ให้จำเลยเสียค่าทนายให้โจทย์ในชั้นฎีกานี้ ๑๐๐ บาท ฯ