คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4711/2546

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้โจทก์ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างในโครงการจัดสรรจากจำเลยที่ 2 และทำสัญญาจ้างจำเลยที่ 1 ปลูกสร้างอาคารบนที่ดินแปลงดังกล่าว โดยโจทก์ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินแปลงนี้จากจำเลยที่ 2 อีฉบับหนึ่งก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาสัญญาทั้งสามฉบับประกอบสำเนาโฉนดที่ดิน ที่ระบุว่าจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ทำสัญญาจะขายให้แก่โจทก์ โดยจำเลยที่ 2 ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกับโจทก์ไว้ต่างหากเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าโครงการจัดสรรที่ดินและบ้านเป็นกิจการร่วมลงทุนระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ก่อสร้างอาคารบนที่ดินของจำเลยที่ 2 เพื่อจัดจำหน่ายให้แก่ประชาชนแล้วแบ่งผลกำไรร่วมกัน ดังนั้น เมื่อจำเลยทั้งสองประกอบการร่วมกันเช่นนี้จึงต้องร่วมกันรับผิดในความเสียหายใด ๆ ที่เกิดจากโครงการดังกล่าวต่อคู่สัญญาและบุคคลภายนอก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินค่าขายบ้านและที่ดินคืนจำนวน ๔๖๖,๙๙๖.๖๖ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จากต้นเงิน ๔๖๔,๘๐๐ บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน ๔๖๔,๘๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๔๑ จนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๔๑) ต้องไม่เกิน ๒,๑๙๖.๖๖ บาท ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ ๘,๐๐๐ บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ ๓,๐๐๐ บาท แทนโจทก์
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประการแรกว่า จำเลยที่ ๒ ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ หรือไม่ เห็นว่า หนังสือรับรองการจดทะเบียนบริษัทจำเลยที่ ๑ ระบุกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ ๑ มีเพียงนายวิวัฒน์ เลาหพูนรังษี เท่านั้น ส่วนกรรมการอื่นหากจะกระทำการแทนจำเลยที่ ๑ ต้องลงลายมือชื่อร่วมกัน ๒ คน และประทับตราของจำเลยที่ ๑ จึงจะมีผลผูกพันจำเลยที่ ๑ เห็นได้ว่าสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อม สิ่งปลูกสร้างและสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินนั้นทำขึ้นระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ เท่านั้น โดยไม่มีกรรมการคนใดของจำเลยที่ ๑ ร่วมกันลงลายมือชื่อและประทับตราของจำเลยที่ ๑ ด้วยแต่อย่างใด ซึ่งแตกต่างไปจากสัญญาจ้างปลูกสร้างอาคารที่ระบุว่า จำเลยที่ ๒ ได้รับมอบอำนาจให้กระทำการแทนจำเลยที่ ๑ ทั้งสิ้น เมื่อพิจารณาสัญญาทั้งสามฉบับประกอบสำเนาโฉนดที่ดินที่ระบุว่า จำเลยที่ ๒ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ทำสัญญาจะขายให้แก่โจทก์ โดยจำเลยที่ ๒ ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกับโจทก์ได้ต่างหากเช่นนี้ เห็นไว้ชัดว่าโครงการควีนเพลสเป็นกิจการร่วมลงทุนระหว่างจำเลยที่ ๑กับจำเลยที่ ๒ โดยจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ก่อสร้างอาคารบนที่ดินของจำเลยที่ ๒ เพื่อจัดจำหน่ายให้แก่ประชาชนแล้วแบ่งผลกำไรร่วมกัน ดังนั้น เมื่อจำเลยทั้งสองประกอบการร่วมกันเช่นนี้จึงต้องร่วมกันรับผิดในความเสียหายใด ๆ ที่เกิดจากโครงการดังกล่าวต่อคู่สัญญาและบุคคลภายนอก…
พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา ๒,๐๐๐ บาท แทนโจทก์

Share