คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 106/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ยื่นฎีกาในวันที่ 5 เมษายน 2532 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 1 ในวันที่ 7 เมษายน 2532 และให้จำเลยที่ 1 นำส่งสำเนาฎีกาให้โจทก์ภายใน 15 วัน มิฉะนั้นถือว่าทิ้งฎีกาแม้จะไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ลงชื่อรับทราบคำสั่งของศาลในวันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งก็ตาม แต่เมื่อในคำฟ้องฎีกามีข้อความบันทึกให้ผู้ฎีกามาทราบคำสั่งของศาลในวันที่ 10 เมษายน 2532 ถ้าไม่มาให้ถือว่าทราบคำสั่งแล้ว และทนายจำเลยที่ 1 ได้ลงชื่อรับทราบไว้ตอนท้ายข้อความดังกล่าว กรณีเช่นนี้จึงต้องถือว่าจำเลยที่ 1 ได้ทราบคำสั่งของศาลตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน 2532 แล้ว การที่จำเลยที่ 1 มิได้นำส่งสำเนาฎีกาให้โจทก์ภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด จึงเป็นการทิ้งฟ้องฎีกา

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ตามสัญญากู้ และบังคับจำนองที่ดินซึ่งจำเลยที่ ๑ นำมาประกันหนี้เงินกู้ จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาศาลชั้นต้นพิจารณาคดีโจทก์ไปฝ่ายเดียว และพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน ๒๔๒,๙๒๐.๘๕ บาท ให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๙ ต่อปี ในต้นเงิน ๑๘๕,๑๗๗.๒๒ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๔๔๑๓๗ แขวงสะพานสูง เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างในที่ดินออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ ให้บังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ ๑ จนกว่าโจทก์จะได้รับชำระหนี้ครบถ้วนโดยจำเลยที่ ๒ ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ในหนี้ส่วนที่ขาดอยู่หลังจากการบังคับจำนอง ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้สามพันบาทเฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าที่โจทก์ชนะคดี
ต่อมาวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๓๐ จำเลยที่ ๑ ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ว่า จำเลยที่ ๑ ไม่จงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา หากจำเลยที่ ๑ ได้ต่อสู้คดี จำเลยที่ ๑ จะชนะคดีโจทก์ได้
ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องของจำเลยที่ ๑ ว่า จำเลยที่ ๑ ยื่นคำร้องเมื่อพ้นกำหนดหกเดือนนับแต่วันที่ได้ยึดทรัพย์หรือได้มีการบังคับตามคำพิพากษา ให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาและให้จำเลยที่ ๑ นำส่งสำเนาฎีกาให้โจทก์ภายใน ๑๕ วัน มิฉะนั้นถือว่าทิ้งฎีกา ต่อมาเจ้าหน้าที่กรมบังคับคดีรายงานว่า จำเลยที่ ๑ ไม่มานำส่งสำเนาฎีกาภายในเวลาที่ศาลกำหนด ศาลชั้นต้นจึงส่งสำนวนมายังศาลฎีกาเพื่อพิจารณา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ ๑ และให้จำเลยที่ ๑ นำส่งสำเนาฎีกาให้โจทก์ภายใน๑๕ วัน มิฉะนั้นถือว่าทิ้งฎีกา แม้จะปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ ยื่นฎีกาในวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๓๒ และศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันที่ ๗ เมษายน๒๕๓๒ โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ ลงชื่อทราบคำสั่งของศาลในวันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งก็ตาม แต่ในคำฟ้องฎีกาดังกล่าวมีข้อความให้ผู้ฎีกามาทราบคำสั่งของศาลในวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๓๒ ถ้าไม่มาให้ถือว่าทราบคำสั่งแล้ว และทนายจำเลยที่ ๑ ได้ลงชื่อรับทราบไว้ตอนท้ายข้อความ กรณีเช่นนี้จึงต้องถือว่าจำเลยที่ ๑ ได้ทราบคำสั่งของศาลตั้งแต่วันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๓๒ แล้ว การที่จำเลยที่ ๑มิได้นำส่งสำเนาฎีกาให้โจทก์ภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดจึงเป็นการทิ้งฟ้องฎีกา
ให้จำหน่ายคดีจากสารบบความของศาลฎีกา.

Share