คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2583/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เช่าซื้อรถยนต์คันที่ถูกรถยนต์ของจำเลยที่ 1 ชนเสียหายและเป็นผู้ครอบครองรถยนต์คันดังกล่าวในขณะที่ถูกชน โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากผู้ทำละเมิดได้
จำเลยที่ 2 ผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์ของจำเลยที่ 1 ให้การว่า หากจำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดต่อโจทก์แล้ว จำเลยที่ 2 ก็รับผิดชอบไม่เกินจำนวน 100,000 บาท ของความเสียหายบุคคลภายนอกทั้งหมดที่เกิดอุบัติเหตุครั้งนี้ มิได้ให้การถึงว่าจำเลยที่ 2 ได้จ่ายค่าทำรั้วที่เสียหายไปแล้ว 15,000 บาท จึงเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 2มิได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ไว้ในคำให้การ แม้โจทก์และจำเลยที่ 2 จะแถลงรับข้อเท็จจริงต่อศาลว่า จำเลยที่ 2 ได้จ่ายค่ารั้วไปแล้ว ก็เป็นเรื่องนอกประเด็น จำเลยที่ 2 จะฎีกาว่าความรับผิดของจำเลยที่ 2ต่อทรัพย์สินบุคคลภายนอกยังคงเหลือเป็นจำนวนเงินไม่เกิน 85,000 บาทไม่ได้ เป็นเรื่องที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ ขับรถยนต์ของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเอาประกันภัยค้ำจุนไว้กับจำเลยที่ ๒ ไปในทางการที่จ้าง และขับรถยนต์ดังกล่าวโดยประมาทเป็นเหตุให้ชนกับรถยนต์ของโจทก์ได้รับความเสียหาย คิดเป็นค่าซ่อม ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์ระหว่างซ่อม และค่าเสื่อมราคารวมเป็นเงิน ๒๑๓,๓๕๐ บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองใช้เงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันละเมิด
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ให้การว่า โจทก์มิใช่เจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์คันที่ถูกชน จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายและค่าเสื่อมราคา ลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ มิได้เป็นฝ่ายประมาท โจทก์มิได้เสียหายตามฟ้อง จำเลยที่ ๒ รับประกันภัยรถยนต์ของจำเลยที่ ๑ โดยมีข้อกำหนดว่าจะรับผิดต่อความเสียหายของบุคคลภายนอกเกี่ยวกับทรัพย์สินแทนผู้เอาประกันภัยในอุบัติเหตุแต่ละครั้งไม่เกินครั้งละ ๑๐๐,๐๐๐ บาทหากจำเลยที่ ๒ จะต้องรับผิดก็ไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน ๙๐,๘๐๐บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๒๕ จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
โจทก์และจำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ได้เช่าซื้อรถยนต์คันที่ถูกชนมาจากห้างหุ้นส่วนจำกัดสีแสงการโยธา ตามหนังสือสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.๑ และโจทก์เป็นผู้ครอบครองรถยนต์คันดังกล่าวในขณะเกิดเหตุ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากผู้ทำละเมิดได้ จำเลยที่ ๒ ฎีกาต่อไปว่า จำเลยที่ ๒ ได้ให้การไว้ในคำให้การข้อ ๖ ว่า “…หากจำเลยที่ ๒ จะต้องรับผิดต่อโจทก์แล้ว จำเลยที่ ๒ ก็รับผิดชอบไม่เกินจำนวนเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ของความเสียหายบุคคลภายนอกทั้งหมดที่เกิดอุบัติเหตุครั้งนี้…” เมื่อโจทกและจำเลยที่ ๒ ได้แถลงรับข้อเท็จจริงตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลว่า จำเลยที่ ๒ ได้จ่ายค่ารั้วให้แก่สมาคมหนังสือพิมพ์ไปแล้วเป็นเงิน ๑๕,๐๐๐ บาท ความรับผิดของจำเลยที่ ๒ ต่อทรัพย์สินบุคคลภายนอก จึงยังคงเหลือเป็นจำนวนเงินไม่เกิน ๘๕,๐๐๐ บาทนั้น เห็นว่าตามคำให้การของจำเลยที่ ๒ ดังกล่าว จำเลยที่ ๒ มิได้ให้การถึงว่าจำเลยที่ ๒ ได้จ่ายค่าทำรั้วให้แก่สมาคมหนังสือพิมพ์ไปแล้ว ๑๕,๐๐๐บาท จึงเป็นเรื่องที่จำเลยที่ ๒ มิได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ไว้ในคำให้การ แม้โจทก์และจำเลยที่ ๒ จะได้แถลงรับข้อเท็จจริงตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลว่า จำเลยที่ ๒ ได้จ่ายค่ารั้วให้แก่สมาคมหนังสือพิมพ์ไปแล้ว ๑๕,๐๐๐ บาท ก็เป็นเรื่องนอกประเด็นต้องถือว่าเป็นเรื่องที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน.

Share