แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ว. เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติโดยธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ. 2515 ต่อมามีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบทเฉพาะกาล มาตรา 234 ที่มิให้นำมาตรา102, 103 ของรัฐธรรมนูญดังกล่าวมาใช้บังคับแก่การดำรงตำแหน่งของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ผลจึงมีว่า ว. ย่อมจะดำรงตำแหน่งการเมืองและตำแหน่งหรือหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐได้ในคราวเดียวกัน ว. จึงไม่เป็นผู้ที่ไม่อาจทำงานเต็มเวลาให้แก่การเคหะแห่งชาติตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 316 ข้อ 22 (3) และ (5) ว. จึงอาจดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติต่อไป และมีสิทธิที่จะมอบอำนาจให้ น.ฟ้องคดีแทนได้
แม้โจทก์จะได้โอนขายกรรมสิทธิ์อาคารห้องพิพาทให้แก่ผู้อื่นไปแล้ว แต่โจทก์ยังมีหน้าที่ต้องส่งมอบอาคารหลังพิพาทให้แก่ผู้ชื้อเพื่อการรื้อถอนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 461 เมื่อจำเลยไม่ยอมออกจากอาคารที่เช่า โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เดิมจำเลยได้เช่าอาคารพิพาทจากกรมประชาสงเคราะห์ ต่อมาได้มีประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๓๑๖ ให้โอนทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ และความรับผิดอันเกี่ยวกับงานด้านอาคารสงเคราะห์ การจัดสรรที่ดิน และการปรับปรุงแหล่งเสื่อมโทรมจากกรมประชาสงเคราะห์ให้โจทก์ดำเนินงาน เมื่อสิ้นกำหนดเวลาการเช่าแล้ว จำเลยได้อยู่ในห้องเช่าต่อมา โจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยเช่าต่อไป เพราะต้องการรื้อถอนอาคารที่พิพาทดังกล่าว โจทก์ได้มีหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่ากับจำเลย จำเลยไม่ยอมออกจากอาคารที่เช่า เป็นเหตุให้โจทก์เสียหาย ขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกจากห้องพิพาทและส่งมอบห้องดังกล่าวคืนแก่โจทก์ และให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่า นายวทัญญู ณ ถลาง เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติและเป็นผู้ไม่อาจทำงานเต็มเวลาให้แก่การเคหะแห่งชาติ จึงเป็นผู้ขาดคุณสมบัติและต้องห้ามมิให้เป็นผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๑๖ ข้อ ๒๒ (๓)(๕) จึงไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์อาคารห้องพิพาทโดยได้ประมูลขายให้แก่ผู้ซื้อไปแล้ว จึงไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยไม่เคยค้างชำระค่าเช่าแก่โจทก์ จึงไม่เป็นผู้ผิดสัญญาเช่า ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากห้องพิพาทและส่งมอบอาคารดังกล่าวแก่โจทก์ พร้อมกับใช้ค่าเสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้เช่าห้องพิพาทจากโจทก์ครบกำหนดเวลาเช่าแล้ว จำเลยได้เช่าต่อไปโดยไม่มีกำหนดเวลา ต่อมาได้มีประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๑๖ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๑๕ ให้โอนกิจการทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ และความรับผิดของกรมประชาสงเคราะห์เฉพาะที่เกี่ยวกับกิจการอาคารสงเคราะห์ให้แก่การเคหะแห่งชาติซึ่งก่อตั้งขึ้นตามประกาศของคณะปฏิวัติดังกล่าว การเคหะแห่งชาติได้ประกวดราคาขายอาคารสงเคราะห์ดังกล่าวโดยเจ้าของร้านทรงชัยค้าไม้เป็นผู้ซื้อได้และจะต้องรื้อถอนไป การเคหะแห่งชาติได้บอกเลิกสัญญาเช่ากับจำเลยและให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้าง จำเลยไม่ยอมส่งมอบอาคารและชำระค่าเช่า นายวทัญญู ณ ถลาง ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติจึงได้มอบอำนาจให้นายนินนาท สาครรัตน์ เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ นายวทัญญู ณ ถลาง ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติมาก่อน ต่อมาจึงได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติ ที่จำเลยฎีกาว่า นายวทัญญู ณ ถลาง ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติเป็นผู้ขาดคุณสมบัติและต้องห้ามมิให้เป็นผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติเพราะได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งเป็นตำแหน่งทางการเมืองและเป็นผู้ไม่อาจทำงานเต็มเวลาให้แก่การเคหะแห่งชาติตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๓๑๖ ข้อ ๒๒ (๓) (๕) และไม่มีสิทธิมอบอำนาจให้นายนินนาท สาครรัตน์ ฟ้องคดีนี้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า นายวทัญญู ณ ถลาง เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติโดยธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๑๕ และต่อมามีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบทเฉพาะกาล มาตรา ๒๓๔ ที่มิให้นำมาตรา ๑๐๒, ๑๐๓ ของรัฐธรรมนูญดังกล่าวมาใช้บังคับแก่การดำรงตำแหน่งของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ผลจึงมีว่านายวทัญญู ณ ถลางย่อมจะดำรงตำแหน่งการเมืองและตำแหน่งหรือหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐได้ในคราวเดียวกัน นายวทัญญู ณ ถลาง จึงไม่เป็นผู้ที่ไม่อาจทำงานเต็มเวลาให้แก่การเคหะแห่งชาติตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๓๑๖ ข้อ ๒๒ (๓) และ (๕) นายวทัญญู ณ ถลาง จึงอาจดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติต่อไป และมีสิทธิที่จะมอบอำนาจให้นายนินนาท สาครรัตน์ ฟ้องคดีนี้ได้ ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ เพราะได้โอนขายกรรมสิทธิ์อาคารห้องพิพาทให้แก่ร้านทรงชัยค้าไม้แล้วนั้น เ ห็นว่าโจทก์ยังมีหน้าที่ต้องส่งมอบอาคารหลังพิพาทให้แก่ผู้ซื้อเพื่อการรื้อถอนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๖๑ เมื่อจำเลยไม่ยอมออกจากอาคารที่เช่า โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยได้
พิพากษายืน