แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า ที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ตามพินัยกรรมของเจ้ามรดก จำเลยที่ 1 ไปขอรับมรดกที่ดินดังกล่าวโดยไม่สุจริต แล้วจำเลยทั้งสองโดยเจตนาไม่สุจริตซื้อขายที่ดินดังกล่าวกันโดยจำเลยที่ 2 ทราบดีแล้วว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจขาย ขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายที่พิพาทระหว่างจำเลยทั้งสอง และให้จำเลยที่ 2 โอนโฉนดที่ดินดังกล่าวคืนให้โจทก์ เป็นคำฟ้องที่โจทก์เรียกที่พิพาทซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ตามพินัยกรรมของเจ้ามรดกคืนจากจำเลยที่ 2 ซึ่งรับโอนจากจำเลยที่ 1 โดยไม่สุจริต ส่วนที่โจทก์ขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายระหว่างจำเลยทั้งสอง และให้จำเลยที่ 2 โอนโฉนดที่พิพาทคืนให้โจทก์ หากจำเลยที่ 2 ไม่โอนให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยนั้น เป็นการกระทำเพื่อให้ที่ดินดังกล่าวหลุดพ้นจากการเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 มาเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องที่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ และเมื่อที่พิพาทตั้งอยู่ในเขตศาลชั้นต้น ที่โจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลชั้นต้นจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(1) แล้ว
ย่อยาว
โจทก์ร้องขอฟ้องคดีอย่างคนอนาถาและฟ้องว่าโจทก์เป็นวัดในพุทธศาสนาอันเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย เมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๐๘ นางบาง แจ่มจิรากุล หรือก๊กแจ่มหรือแจ่ม จิระกุล ทำพินัยกรรมยกที่ดินโฉนดที่ ๙๑๗๘ ตำบลบ่อยาโล่ อำเภอวังน้อย (พระราชวัง) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ให้แก่โจทก์ นางบางตายเมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๑๖ ที่ดินจึงตกเป็นของโจทก์และกลายเป็นธรณีสงฆ์อันไม่อาจโอนกันได้โดยลำพัง จำเลยที่ ๑ เป็นหลานของนางบางและทราบดีว่านางบางทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินคือที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ แต่โดยเจตนาไม่สุจริต จำเลยที่ ๑ ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งขอเป็นผู้จัดการมรดกของนางบาง ศาลแพ่งเชื่อคำเบิกความอันเป็นเท็จของจำเลยที่ ๑ กับพวก จึงมีคำสั่งตั้งจำเลยที่ ๑ เป็นผู้จัดการมรดก จำเลยนำคำสั่งดังกล่าวไปแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ลงชื่อจำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้จัดการมรดกของนางบางในโฉนดเลขที่ ๙๑๗๘ และในวันเดียวกันนั้น จำเลยทั้งสองโดยเจตนาไม่สุจริตซื้อขายที่ดินดังกล่าวในราคาเพียง ๑๗๐,๐๐๐ บาท โดยจำเลยที่ ๒ ทราบดีว่าจำเลยที่ ๑ ไม่มีอำนาจขาย จึงขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนสัญญาซื้อขายที่ดินโฉนดที่ ๙๑๗๘ ระหว่างจำเลยทั้งสอง ให้จำเลยที่ ๒ โอนที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ หากจำเลยที่ ๒ ไม่โอนก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
ศาลชั้นต้นงดไต่สวนคำร้องและวินิจฉัยว่า คำฟ้องของโจทก์ไม่เกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์หรือสิทธิ์หรือประโยชน์อันเกี่ยวกับทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๔(๑) จึงไม่รับคำฟ้องของโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคำร้องขอฟ้องอย่างอนาถาของโจทก์ แล้วดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ดินโฉนดที่ ๙๑๗๘ ตั้งอยู่ในเขตศาลชั้นต้นเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ตามพินัยกรรมนางบาง จำเลยที่ ๑ ไปขอรับมรดกในที่ดินดังกล่าวโดยไม่สุจริต แล้วจำเลยทั้งสองโดยเจตนาไม่สุจริตซื้อขายที่ดินดังกล่าวกันโดยจำเลยที่ ๒ ทราบดีแล้วว่าจำเลยที่ ๑ ไม่มีอำนาจขาย ขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายที่ดินโฉนดที่ ๙๑๗๘ ระหว่างจำเลยทั้งสอง และให้จำเลยที่ ๒ โอนโฉนดที่ดินดังกล่าวคืนให้โจทก์ เป็นคำฟ้องที่โจทก์เรียกที่ดินโฉนดที่ ๙๑๗๘ ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ตามพินัยกรรมของนางบางคืนจากจำเลยที่ ๒ ซึ่งรับโอนจากจำเลยที่ ๑ โดยไม่สุจริต ส่วนที่โจทก์ขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายระหว่างจำเลยทั้งสอง และให้จำเลยที่ ๒ โอนโฉนดที่ดินเลขที่ ๙๑๗๘ คืนให้โจทก์ หากจำเลยที่ ๒ ไม่โอน ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยนั้น เป็นการกระทำเพื่อให้ที่ดินดังกล่าวหลุดพ้นจากการเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๒ มาเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ฟ้องของโจทก์จึงเป็นคำฟ้องที่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ และเมื่อที่ดินโฉนดที่ ๙๑๗๘ ตั้งอยู่ในเขตศาลชั้นต้น ที่โจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลชั้นต้นจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๔(๑) แล้ว
พิพากษายืน