คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1054/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

กรณีที่ถือได้ว่าผู้เช่าและเจ้าของทรัพย์สินมีเจตนาเลิกสัญญาเช่าซื้อต่อกัน คู่สัญญาแต่ละฝ่ายต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 เงินที่ผู้เช่าชำระให้แก่เจ้าของทรัพย์สินเป็นค่าเช่าไปแล้วนั้น ต้องหักค่าที่ผู้เช่าได้ใช้หรือได้รับประโยชน์จากทรัพย์สินที่เช่าซื้อออกเสียก่อน ที่เหลือจึงคืนแก่ผู้เช่า

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ตกลงเช่าซื้อรถยนต์จากตัวแทนของจำเลย ได้ชำระค่างวดแก่ตัวแทนของจำเลยเสมอมา จำเลยได้บังอาจยึดรถยนต์ไปจากโจทก์โดยโจทก์มิได้ประพฤติผิดสัญญาอย่างใด ขอให้บังคับจำเลยส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ในสภาพที่สมบูรณ์ และให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาเช่าซื้อต่อไป ถ้าจำเลยไม่สามารถปฏิบัติได้ให้จำเลยคืนเงินค่าเช่าซื้อที่โจทก์ชำระไปเป็นเงิน ๒๕,๖๐๐ บาทกับค่าเสียหายที่โจทก์ขาดรายได้ ๑๕,๐๐๐ บาท และต่อไปเป็นรายวันวันละ ๓๐๐ บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าคดีถึงที่สุด
จำเลยให้การว่า โจทก์เช่าซื้อรถยนต์พิพาทกับตัวแทนของจำเลยจริง แต่โจทก์ผิดนัดค้างชำระค่าเช่าซื้อและยังได้นำรถไปให้บุคคลอื่นเช่าหรือจำหน่ายให้แก่บุคคลอื่น เป็นการผิดสัญญา จำเลยจึงได้ยึดรถคืน โจทก์ชำระค่าเช่าซื้อเป็นเงิน ๒๓,๒๐๐ บาท มิใช่ ๒๕,๖๐๐ บาท ที่โจทก์เรียกร้องค่าขาดรายได้วันละ ๓๐๐ บาทสูงเกินความเป็นจริง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาเช่าซื้อต่อไป ให้จำเลยคืนรถยนต์ในสภาพเรียบร้อยแก่โจทก์ ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาก็ให้จำเลยคืนเงิน ๒๕,๖๐๐ บาทให้โจทก์และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายวันละ ๑๕๐ บาท จนกว่าจะส่งมอบรถยนต์คืนหรือชำระเงิน ๒๕,๖๐๐ บาทให้โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะค่าเสียหายเป็นว่า ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์วันละ ๗๕ บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยแล้วฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์มิได้ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อ แต่จำเลยไปยึดรถที่เช่าซื้อคืน จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา ส่วนปัญหาเกี่ยวกับค่าเสียหายนั้นเห็นว่า โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยปฏิบัติตามสัญญาเช่าซื้อ คือให้จำเลยคืนรถแก่โจทก์เพื่อจะได้ใช้ประโยชน์ต่อไปตามที่ได้ทำสัญญาเช่าซื้อไว้ หาใช่ว่าโจทก์มีเจตนาจะบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อไม่ เมื่อจำเลยผิดสัญญาจึงต้องใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ ศาลอุทธรณ์กำหนดให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์วันละ ๗๕ บาทเป็นจำนวนเงินที่เหมาะสมแล้ว
ข้อที่จำเลยฎีกาว่า กรณีที่จำเลยคืนรถให้ไม่ได้ ควรจะได้หักค่าที่โจทก์ได้ใช้ประโยชน์รถคันพิพาทมาแล้วออก ไม่ควรให้จำเลยต้องรับผิดใช้ค่าเช่าซื้อที่โจทก์ชำระมาแล้วโดยเต็มจำนวนนั้น เห็นว่ากรณีที่จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาโดยไม่ยอมคืนรถคันพิพาทแก่โจทก์ได้ใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ที่เช่าซื้อ ถือได้ว่าโจทก์และจำเลยมีเจตนาเลิกสัญญาเช่าซื้อต่อกัน คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจะต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๙๑ สัญญาเช่าซื้อคือสัญญาที่เจ้าของเอาทรัพย์สินออกให้เช่าโดยมีคำมั่นว่าเจ้าของจะขายทรัพย์สินนั้น หรือจะให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นสิทธิแก่ผู้เช่าตามข้อตกลงที่กำหนดไว้ในสัญญา ดังนั้นที่โจทก์ชำระเงินค่าเช่าซื้อแก่จำเลยไปทั้งหมดเป็นเงิน ๒๕,๖๐๐ บาท จึงต้องหักค่าที่โจทก์ได้ใช้หรือได้รับประโยชน์รถยนต์คันพิพาทออกที่เหลือจึงคืนแก่โจทก์ ศาลฎีกาได้พิจารณาตามพฤติการณ์แห่งคดีแล้วเห็นว่าค่างวดเช่าซื้อรายเดือน เดือนละ ๑,๒๐๐ บาทที่โจทก์มีหน้าที่จะต้องผ่อนชำระแก่จำเลยตามสัญญานั้นน่าจะเป็นอัตราเดียวกับค่าที่ได้ใช้ประโยชน์รถคันพิพาทในเดือนหนึ่ง ๆ โจทก์ใช้รถคันพิพาทอยู่ ๑๓ เดือน ค่าเช่าเดือนละ ๑,๒๐๐ บาท หักค่าเช่ารถออก ๑๕,๖๐๐ บาท ที่เหลือ ๑๐,๐๐๐ บาท จึงคืนให้แก่โจทก์ไปในกรณีที่จำเลยไม่สามารถส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ได้
พิพากษาแก้เฉพาะกรณีที่จำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญา ให้จำเลยคืนเงิน ๑๐,๐๐๐ บาทแก่โจทก์ นอกจากที่แก้นี้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share