คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 870/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยนำที่ดินซึ่งโจทก์กำลังฟ้องเรียกเอาจากจำเลยไปให้เช่าและจดทะเบียนการเช่านั้น ไม่ใช่เป็นการย้ายไปเสียหรือโอนไปให้ผู้อื่นซึ่งทรัพย์ จึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องว่าเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๑๔ โจทก์ได้ฟ้องจำเลยทั้งสามเรียกทรัพย์มรดกและผลประโยชน์ในกองมรดก ขอให้กำจัดจำเลยที่ ๑ มิให้รับมรดกนางแฉล้ม กับขอให้เพิกถอนการโอนสิทธิที่ดินทั้ง ๓ โฉนดเฉพาะส่วนของจำเลยที่ ๑ มาเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์คนละส่วน ครั้นวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๑๖ จำเลยทั้งสามได้ทำสัญญาให้เช่าที่ดิน ๑ โฉนดที่โจทก์ฟ้อง มีกำหนด ๒๐ ปี และได้จดทะเบียนการเช่าต่อเจ้าพนักงาน ทั้งนี้โดยจำเลยร่วมกันด้วยเจตนาทุจริตเพื่อมิให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ ๑ ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดในที่ดินที่โจทก์ได้ใช้สิทธิทางศาลฟ้องจำเลยดังกล่าว การกระทำของจำเลยเป็นการย้ายไปเสีย และโอนไปให้แก่ผู้อื่นทั้งยังเก็บค่าเช่าไว้เป็นประโยชน์ส่วนตัว หากศาลพิพากษาเพิกถอนนิติกรรมที่จำเลยที่ ๑ จดทะเบียนรับโอนที่ดินแปลงนี้มาแล้วโอนกับมาเป็นของโจทก์ โจทก์จะต้องรับภาระการเช่า ทำให้โจทก์เสียหายไม่ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดจากจำเลยที่ ๑ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๐, ๘๓
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีมีมูล ประทับฟ้องโจทก์
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๐,๘๓ จำคุกคนละ ๖ เดือน ปรับคนละ ๑,๐๐๐ บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนดคนละ ๑ ปี
โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำคุกจำเลยโดยไม่ต้องรอการลงโทษ
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์บรรยายตามคำฟ้องยังไม่เป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์บรรยายฟ้องถึงการกระทำความผิดของจำเลยทั้งสามว่า จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันนำที่ดินโฉนดเลขที่ ๕๑๒๘ ตำบลคลองเตย อำเภอพระโขนง จังหวัดพระนคร เฉพาะส่วนที่จำเลยที่ ๑ มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ร่วม ซึ่งเป็นทรัพย์มรดกได้แก่โจทก์ไปให้บริษัทเชลล์ประเทศไทยจำกัดเช่า และทำนิติกรรมจดทะเบียนการเช่ามีกำหนด ๒๐ ปี เป็นการย้ายไปเสียและโอนไปให้แก่ผู้อื่น เพื่อมิให้โจทก์ทั้งสามซึ่งเป็นเจ้าหนี้ที่ได้ใช้สิทธิทางศาลได้รับชำระหนี้ทั้งหมด เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๐ เห็นว่าการที่จำเลยทั้งสามนำที่ดินไปให้เช่าและทำนิติกรรมจดทะเบียนการเช่านั้น ความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์หาได้เปลี่ยนมือหรือตกไปเป็นของผู้เช่าไม่ ยังคงเป็นของผู้ให้เช่าซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ตามเดิม แม้ผู้เช่าจะได้รับมอบการครอบครองทรัพย์ที่เช่าก็เป็นเพียงการครอบครองแทนเท่านั้น ไม่มีทางที่จะแปลไปได้ว่าเป็นการย้ายไปเสียหรือโอนไปให้ผู้อื่นซึ่งทรัพย์ตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๐ การกระทำของจำเลยทั้งสามไม่เป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้
พิพากษายืน

Share