แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เดิมโจทก์ฟ้องส. ภรรยาโจทก์ กับ ก. ม. และ ฮ. ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินอันเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับ ส. ซึ่ง ส.ทำนิติกรรมขายให้ ก. ม. และ ฮ. ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นก. ม. และ ฮ. เอาที่ดินพิพาทไปขายให้จำเลยที่ 1 โจทก์จึงขอให้ศาลเรียกจำเลยที่ 1 เข้ามาเป็นจำเลยร่วม คดีนั้นศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ทำลายนิติกรรมการซื้อขายระหว่าง ส. กับ ก. ม. และ ฮ. กับ ให้ทำลายนิติกรรมการซื้อขายระหว่าง ก. ม. ฮ. กับจำเลยที่ 1 ก. กับพวกและจำเลยที่ 1 ฎีกา เมื่อคดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาจำเลยที่ 1 เอาที่พิพาทไปทำสัญญาขายฝากไว้กับจำเลยที่ 2มีกำหนดเวลาไถ่คืนเพียง 3 เดือน แล้วไม่ไถ่คืนภายในกำหนดดังนี้ ย่อมเห็นได้ชัดว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาโอนที่พิพาทให้จำเลยที่ 2เพื่อไม่ให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ของตนซึ่งได้ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้แล้วได้รับชำระหนี้ทั้งหมด การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 จำเลยจะอ้างว่าที่ขายฝากเพราะจำเลยที่ 1 เชื่อว่าศาลฎีกาจะต้องพิพากษาให้จำเลยที่ 1ชนะคดีหาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานร่วมกันโกงเจ้าหนี้และยักยอกทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๐, ๓๕๓
ในวันนัดไต่สวนมูลฟ้อง ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้วมีคำสั่งให้งดการไต่สวนมูลฟ้องและสอบโจทก์ โจทก์แถลงว่า ก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์มิได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งหรือคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งให้ประทับฟ้อง เฉพาะข้อหาฐานโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๐
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า พยานหลักฐานของโจทก์ยังไม่พอฟังลงโทษจำเลยทั้งสองได้ และคดีขาดอายุความ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ จึงไม่วินิจฉัยปัญหาที่ว่าจำเลยกระทำความผิดจริงหรือไม่ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ แต่ศาลอุทธรณ์ยังไม่วินิจฉัยการกระทำของจำเลยว่าเป็นความผิดหรือไม่ พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ดังฟ้อง พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๐ ให้จำคุกคนละ ๖ เดือน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่า เดิมโจทก์ฟ้องนางสำเภาภรรยาโจทก์ นายการิมนายมะหะหมุด นายไฮดิน ว่านางสำเภาเอาที่ดินสินสมรสระหว่างโจทก์กับนางสำเภาไปขายให้นายการิม นายมะหะหมุดและนายไฮดิน ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขาย ขณะคดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นนายการิม นายมะหะหมุด นายไฮดิน เอาที่ดินแปลงนี้ไปขายให้แก่จำเลยที่ ๑โจทก์ขอให้ศาลเรียกจำเลยที่ ๑ เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ทำลายนิติกรรมการซื้อขายระหว่างนางสำเภากับนายการิมนายมะหะหมุดและนายไฮดินกับให้ทำลายนิติกรรมการซื้อขายระหว่างนายการิม นายมะหะหมุด นายไฮดิน กับจำเลยที่ ๑ ให้ลงชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับนางสำเภา นายการิมกับพวกและจำเลยที่ ๑ฎีกา ศาลฎีกาพิพากษายืน ขณะคดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาจำเลยที่ ๑ ได้เอาที่ดินแปลงนี้ไปขายฝากไว้กับจำเลยที่ ๒ มีกำหนดเวลาไถ่คืนเพียง ๓ เดือน แล้วไม่ไถ่คืนภายในกำหนด วินิจฉัยว่า ย่อมเห็นได้ชัดว่าจำเลยที่ ๑ มีเจตนาโอนที่ดินให้จำเลยที่ ๒ เพื่อไม่ให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ของตนซึ่งได้ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้แล้วได้รับชำระหนี้ทั้งหมดการกระทำของจำเลยที่ ๑ จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๕๐ ที่จำเลยอ้างว่าจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาขายฝากที่ดินไว้กับจำเลยที่ ๒ เพราะเชื่อว่าศาลฎีกาจะต้องพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชนะคดีนั้นไม่ทำให้จำเลยที่ ๑ พ้นจากความผิดไปได้ เพราะจำเลยที่ ๑ จะต้องผูกพันตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จนกว่าศาลฎีกาจะพิพากษาเปลี่ยนแปลงแก้ไข กลับ หรืองดเสีย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๑๔๕ ฎีกาของจำเลยที่ ๑ ฟังไม่ขึ้น
ส่วนคดีสำหรับจำเลยที่ ๒ นั้น ไม่พอฟังว่าจำเลยที่ ๒ ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ ๑ ฎีกาของจำเลยที่ ๒ ฟังขึ้น
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์