คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1945/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยได้ข่มขู่โจทก์ว่าจะเปิดเผยความลับทางการค้าต่อพ่อค้าและท้องตลาดกับเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการหลบเลี่ยงภาษีของห้างหุ้นส่วน อันจะทำให้ห้างดังกล่าวซึ่งมีโจทก์เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการได้รับความเสียหายจนโจทก์ยอมจะให้เงินแก่จำเลยตามที่ขู่เข็ญนั้น จึงถือว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4) แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 337, 338 ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 28

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องมีใจความว่า โจทก์เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดบัวไลจำเลยเคยเป็นลูกจ้างของโจทก์ เมื่อระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๑๐ ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๑๐ ได้มีคนร้ายลักเอาเอกสารต่าง ๆ ซึ่งเก็บอยู่ในห้างหุ้นส่วนไป วันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๑๐ เวลากลางวัน จำเลยได้นำเอกสารที่ถูกลักไปมอบให้พันตำรวจโทรัตน์ เอกะวิภาต ทั้งนี้โดยจำเลยได้ลักเอาเอกสารไปหรือรับเอกสารไว้โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิดกฎหมาย
เมื่อประมาณเดือนกรกฎาคม ๒๕๑๐ จำเลยได้โทรศัพท์มาขู่เข็ญให้โจทก์ยอมให้เงินหนึ่งแสนบาทแก่จำเลย ถ้าไม่ให้จำเลยจะนำความลับในเอกสารทางการค้าออกเปิดเผยเพื่อให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดบัวไลเสียชื่อเสียงและจะดักทำร้ายโจทก์ จนโจทก์ผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้นเหตุเกิดที่ตำบลและอำเภอป้อมปราบศัตรูพ่าย จังหวัดพระนคร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๗, ๓๓๘, ๓๓๕(๘) (๑๑) ๓๕๗
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งว่าคดีมีมูลให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธและต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นเห็นว่าฟ้องไม่เคลือบคลุม สำหรับข้อหาลักทรัพย์หรือรับของโจรนั้นยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้กระทำผิด สำหรับข้อหากรรโชกฟังได้ว่าจำเลยได้ขู่เข็ญเอาเงินหนึ่งแสนบาทจากโจทก์ และโจทก์ยอมจะให้เงินสองสามหมื่นบาทแก่จำเลยจริง พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๗, ๓๓๘ ลงโทษตามมาตรา ๓๓๘ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ให้จำคุก ๒ ปี ข้อหาลักทรัพย์และรับของโจรกับคำขออื่นของโจทก์ให้ยกเสีย
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรด้วย
จำเลยอุทธรณ์ว่าฟ้องเคลือบคลุม โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องและข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้กระทำผิดตามฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้อง ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม
ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยได้ขู่เข็ญข่มขืนใจโจทก์ว่าจะทำอันตรายต่อชื่อเสียงของห้างหุ้นส่วนจำกัดบัวไล ซึ่งเป็นนิติบุคคลและเป็นบุคคลที่ ๓ และได้ขู่เข็ญข่มขืนใจโจทก์ว่าจะเปิดเผยความลับซึ่งการเปิดเผยนั้นจะทำให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดบัวไลเสียหาย จึงถือว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายตามความในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒(๔) แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีในความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวมาได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๘ ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมนั้น เห็นว่าฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม ฎีกาของจำเลยข้อนี้จึงตกไป
พิพากษายืน

Share