คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 904/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาประกันที่นายประกันทำไว้ต่อศาลมีข้อความว่า ‘ข้าพเจ้าสัญญารับประกันตัวจำเลยในคดีเรื่องนี้เพื่อให้ศาลปล่อยชั่วคราวจนกว่าข้าพเจ้าได้นำจำเลยมามอบต่อศาล และศาลสั่งให้ถอนประกันหรือปล่อยตัวไป’ ดังนี้ เมื่อนายประกันนำตัวจำเลยมาส่งศาลและศาลได้ปล่อยตัวจำเลยไปเพราะมีคำพิพากษายกฟ้อง นายประกันย่อมพ้นจากความผูกพันตามสัญญาประกันนั้น (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 19/2513)

ย่อยาว

คดีเดิมโจทก์ฟ้องว่า จำเลยปลอมเช็คและใช้เช็คปลอมไปหลอกลวงเอาเงินจากผู้มีชื่อ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๔, ๒๖๖,๒๖๘, ๓๔๑ ริบเช็คของกลาง กับให้จำเลยคืนเงินแก่ผู้เสียหาย ๔๐,๐๐๐ บาท
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณาที่ศาลชั้นต้น นางสงบ สัมมา ได้ทำสัญญาประกันตัวจำเลยไปจากศาล และศาลปล่อยตัวจำเลยไปชั่วคราวตามสัญญาประกัน
ศาลชั้นต้นพิจารณา พิพากษายกฟ้องทุกข้อหาปล่อยตัวจำเลยพ้นข้อหาไป เช็คของกลางริบ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ทำคำพิพากษาส่งไปยังศาลชั้นต้นเพื่ออ่าน แต่ส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาไปไม่ถึงจำเลยและผู้ประกันได้มีการเลื่อนวันนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไปหลายครั้งเพราะจำเลยไม่มาศาล ในที่สุดศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยและผู้ประกันตัวจำเลยทราบวันนัดให้มาศาลแล้ว ถือว่าจำเลยหลีกเลี่ยงไม่มาได้ออกหมายจับและสั่งปรับนางสงบ สัมมา ผู้ประกันจำเลยเป็นเงิน ๘๐,๐๐๐ บาทภายหลังที่ออกหมายจับแล้วเกิน ๑ เดือนยังจับตัวจำเลยไม่ได้ ได้มีการอ่านคำพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๖(๔), ๒๖๘, ๓๔๑ ให้ลงโทษตามกระทงหนักมาตรา ๒๖๘ จำคุกจำเลย ๒ ปี ริบเช็คของกลาง
นางสงบ สัมมา ผู้ประกันตัวจำเลยอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นว่าผู้ประกันได้ส่งตัวจำเลยต่อศาลชั้นต้นเมื่อวันฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้นแล้วและศาลชั้นต้นได้พิพากษายกฟ้อง โจทก์ปล่อยตัวจำเลยพ้นข้อหาไปแล้วจึงหมดระยะเวลาตามสัญญาประกันที่ผู้ประกันจะต้องรับผิดชอบอีกต่อไปศาลจะสั่งปรับผู้ประกันในเหตุที่เกิดขึ้นตอนหลังจากหมดความรับผิดชอบตามสัญญาประกันนี้ไม่ได้
ส่วนคดีสำหรับตัวจำเลยทนายจำเลยได้ยื่นฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แทนจำเลย ในที่สุดปรากฏว่าศาลฎีกาพิพากษายืน
ส่วนในคดีที่ผู้ประกันอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งให้ปรับของศาลชั้นต้นนั้นศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำสั่งศาลชั้นต้น ให้เพิกถอนคำสั่งที่สั่งปรับผู้ประกันนั้นเสีย
โจทก์ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ขอให้ปรับผู้ประกันตามคำสั่งศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาเห็นว่าตามสัญญาประกันรายนี้ในข้อ ๑ ได้กล่าวไว้ว่า “ข้าพเจ้าสัญญารับประกันตัวนางชุดา สุวรรณรัตน์ จำเลยในคดีเรื่องนี้ เพื่อให้ศาลปล่อยชั่วคราวจนกว่าข้าพเจ้าได้นำนางชุดา สุวรรณรัตน์ จำเลยมามอบตัวต่อศาลและศาลสั่งให้ถอนประกันหรือปล่อยตัวไป” ตามสัญญาข้อสองมีว่า”ในระหว่างประกันนี้ ข้า ฯลฯ จะปฏิบัติตามนัดหรือหมายเรียกของเจ้าพนักงานหรือศาล มิฉะนั้นข้าพเจ้ายอมรับผิดชอบใช้เงินเป็นจำนวนแปดหมื่นบาทถ้วน ฯลฯ”
ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่าในสัญญาข้อ ๒ ว่า ให้มีการรับผิดกันสำหรับในระหว่างประกันเท่านั้น ซึ่งแปลได้ว่าต้องเป็นระยะเวลาภายในดังที่กล่าวไว้ในสัญญาข้อ ๑ นั้นเอง คือภายในระยะเวลาที่มีการปล่อยตัวจำเลยไปชั่วคราวจนถึงเวลาที่มีการส่งมอบตัวจำเลยต่อศาลแล้ว และศาลปล่อยตัวจำเลยไปสำหรับตัวจำเลยรายนี้ได้ปรากฏตามบันทึกในหน้าปกสำนวนว่าจำเลยมาฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่พิพากษายกฟ้องโจทก์ปล่อยจำเลยเมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม๒๕๐๙ จึงฟังได้ว่าในวันนั้นผู้ประกันได้เอาตัวจำเลยมาส่งศาลด้วยแล้ว และจำเลยกลับไปจากศาลโดยไม่ได้เอาตัวไปก็คือศาลได้สั่งปล่อยตัวจำเลยไปตามคำพิพากษาฉบับที่กล่าวไว้แล้วนั้นเองระยะเวลาที่ผู้ประกันผูกพันอยู่ตามสัญญาประกันรายนี้จึงเป็นอันหมดไป นับแต่ศาลปล่อยตัวจำเลยไปในวันนั้นเองกรณีที่จำเลยไม่ได้มาศาลตามนัด (อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์) เป็นเรื่องเกิดขึ้นภายหลังจากระยะเวลาที่ความรับผิดตามสัญญาประกันของผู้ประกันหมดไปแล้ว ศาลจะยกเอาเหตุภายหลังนั้นขึ้นสั่งปรับผู้ประกันไม่ได้
พิพากษายืน

Share