คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 68/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ย. มอบอำนาจช่วงให้ ส.ฟ้องคดีแทนโจทก์ ต่อมา ย.ได้รับมอบอำนาจจากโจทก์โดยมีอำนาจดำเนินคดีทางศาลแทนโจทก์และมีอำนาจมอบอำนาจช่วงได้ หลังจากนั้น ย.และ ส.ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงแก้ไขใบมอบอำนาจเดิมหรือทำใบมอบอำนาจขึ้นใหม่ ดังนี้แสดงว่า ย.และส.มีเจตนาให้ใช้ใบมอบอำนาจเดิมนั่นเอง ใบมอบอำนาจเดิมระหว่างย.และ ส.จึงสมบูรณ์ ส.มีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์ได้ตั้งแต่วันที่โจทก์มอบอำนาจให้ ย.ดำเนินคดีดังกล่าว
จำเลยให้การว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์ไม่ได้รับมอบอำนาจให้ฟ้องคดีจากองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพโดยถูกต้องตามกฎหมาย คำให้การดังกล่าวไม่ได้ระบุว่าไม่ถูกต้องตามกฎหมายใดหรือเพราะเหตุใด จึงเป็นคำให้การที่ไม่ได้อ้างเหตุแห่งการปฏิเสธตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง ข้ออ้างดังกล่าวจึงไม่มีประเด็น แต่ฎีกาของจำเลยที่ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนเมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรย่อมยกขึ้นวินิจฉัยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลได้มอบอำนาจให้นายยรรยง คุโรวาท เป็นผู้ดำเนินคดีแทนและมีอำนาจทำการมอบอำนาจช่วง ในการดำเนินคดีนี้นายยรรยงได้มอบอำนาจให้นายเสริมชาติ สุจริตพงศ์ เป็นผู้ดำเนินคดีแทนโจทก์ โจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์โดยสารหมายเลขทะเบียน กท.จ.๑๐-๑๑๘๖ เมื่อวันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๒๔ รถยนต์โดยสารคันดังกล่าวเกิดอุบัติเหตุชนรถจักรยานยนต์ จำเลยที่ ๑ ในฐานะพนักงานสอบสวนได้ยึดรถยนต์ของโจทก์ไปเพื่อประกอบคดีและเก็บรักษาไว้โดยจอดไว้หน้าสถานีตำรวจ จำเลยที่ ๒ เป็นผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ ๑ จำเลยทั้งสองละเลยต่อหน้าที่ ไม่เก็บรักษาไว้ด้วยความระมัดระวัง เป็นเหตุให้อุปกรณ์รถยนต์ของโจทก์สูญหายไปหลายรายการคิดเป็นเงิน ๒๓,๑๐๐ บาท เป็นการละเมิด ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน ๒๔,๘๓๒.๕๐ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่ได้รับมอบอำนาจให้ฟ้องคดีนี้จากองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพโดยถูกต้องตามกฎหมาย ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จำเลยมิได้ร่วมกันยึดรถยนต์โดยสารของโจทก์และอุปกรณ์รถยนต์ดังกล่าวมิได้สูญหายไป ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ จำเลยทั้งสองยึดรถยนต์ไว้ประกอบคดีตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย และใช้ความระมัดระวังดูแลรักษาเหมือนวิญญูชนจึงไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน ๒๓,๑๐๐ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๒๔ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ ทั้งนี้ดอกเบี้ยก่อนฟ้องต้องไม่เกิน ๑,๗๓๒.๕๐ บาท ยกฟ้องจำเลยที่ ๒
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ปัญหาว่าจำเลยที่ ๑ ฎีกาเรื่องอำนาจฟ้องได้หรือไม่ จำเลยที่ ๑ ให้การว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ เพราะโจทก์ไม่ได้รับมอบอำนาจให้ฟ้องคดีนี้จากองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพโดยถูกต้องตามกฎหมาย เห็นว่า คำให้การดังกล่าวไม่ได้ระบุว่าไม่ถูกต้องตามกฎหมายใด หรือไม่ถูกต้องเพราะเหตุอะไร ประกอบกับการที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายย่อมจะเกิดขึ้นได้จากหลายเหตุ จึงเป็นคำให้การที่ไม่ได้อ้างเหตุแห่งการปฏิเสธ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๗ วรรคสอง ข้ออ้างดังกล่าวจึงไม่เป็นประเด็น แต่ฎีกาของจำเลยที่ ๑ ดังกล่าวเป็นฎีกาเกี่ยวกับเรื่องอำนาจฟ้องซึ่งเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๒๔ นายยรรยงมอบอำนาจช่วงให้นายเสริมชาติฟ้องคดีแทนโจทก์ ตามหนังสือมอบอำนาจตามเอกสารหมาย จ.๒ วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๒๔ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพโจทก์มอบอำนาจให้นายยรรยง รองผู้อำนายการ (บริหาร) มีอำนาจเกี่ยวกับการดำเนินคดีทางศาล และมีอำนาจที่จะทำการมอบอำนาจช่วงต่อไปได้ ตามหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.๑ วันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๒๕ นายเสริมชาติใช้ใบมอบอำนาจดังกล่าวฟ้องคดีนี้ มีปัญหาว่านายเสริมชาติมีอำนาจฟ้องหรือไม่ แม้ว่าขณะที่นายยรรยงมอบอำนาจให้นายเสริมชาติ นายยรรยงยังไม่ได้รับมอบอำนาจจากองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ แต่ในวันรุ่งขึ้นนายยรรยงก็ได้รับมอบอำนาจจากองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ หลังจากนั้นทั้งนายยรรยงและนายเสริมชาติก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงแก้ไขใบมอบอำนาจเดิม ตามเอกสารหมาย จ.๒ หรือทำใบมอบอำนาจกันใหม่ แสดงให้เห็นเจตนาของบุคคลทั้งสองว่าตั้งใจให้ใช้ใบมอบอำนาจเดิม ตามเอกสารหมาย จ.๒ ต่อไป เพราะแม้จะเขียนขึ้นใหม่ก็ต้องเขียนข้อความเหมือนเดิม ใบมอบอำนาจดังกล่าวจึงสมบูรณ์ และนายเสริมชาติก็มีอำนาจฟ้องตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๒๔ เป็นต้นไป
พิพากษายืน

Share