คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2746/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทั้งสองทำน้ำมันมนต์ให้แก่ประชาชนโดยอ้างว่ารักษาโรคได้และเก็บเงินจากประชาชนที่มารับน้ำมนต์ไปคนละ 12 บาท เป็นค่าครู ซึ่งจำเลยทั้งสองก็รู้ว่าน้ำมนต์นั้นไม่ใช่ยารักษาโรค แต่จำเลยทั้งสองกลับอวดอ้างว่าเด็กชาย ว. บุตรของจำเลยทั้งสองเป็นอาจารย์น้อย เป็นคนมีบุญเทพให้มาเกิดทำนองว่าเป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์ ทำให้ประชาชนหลงเชื่อว่าน้ำมนต์นั้นศักดิ์สิทธิรักษาโรคได้อันเป็นการหลอกลวงประชาชนเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สิน การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน
เมื่อศาลล่างปรับบทลงโทษจำเลยโดยไม่ระบุว่าเป็นความผิดตามวรรคใดในมาตราที่ลงโทษ ศาลฎีกาจึงระบุเสียให้ถูกต้อง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันหลอกลวงประชาชนทั่วไปด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ โดยหลอกว่า บุตรของจำเลยทั้งสองสามารถรักษาโรคทุกชนิดให้หายได้ด้วยการให้นำปัสสาวะและน้ำมนต์ไปดื่มกินเป็นยารักษาโรค แต่ผู้ประสงค์จะรักษาต้องเสียค่าครูให้แก่จำเลยทั้งสองคนละ ๑๒ บาท เป็นเหตุให้ประชาชนหลงเชื่อมารับการรักษาประมาณ ๒๕๐ คน และยอมมอบเงินให้แก่จำเลยทั้งสองคนละ ๑๒ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๓,๐๐๐ บาท แล้วจำเลยทั้งสองนำไปเป็นประโยชน์ส่วนตน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๓๔๑, ๓๔๓ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงินแก่ประชาชนที่ถูกหลอกลวงคนละ ๑๒ บาทด้วย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๓ จำคุกคนละ ๑ ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามคงจำคุกคนละ ๘ เดือน ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงินแก่ประชาชนที่ถูกหลอกลวงคนละ ๑๒ บาทรวมเป็นเงิน ๓,๐๐๐ บาท
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ไม่ปรากฏถึงเหตุที่เกิดข่าวเล่าลือในเรื่องนี้แต่ข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยนำสืบรับกันฟังได้ว่า มีประชาชนจำนวนมากเชื่อตามข่าวลือแล้วมารับการรักษาโรคโดยอาศัยน้ำมนต์ของเด็กชายวุ่น หรืออาจารย์น้อยถึงขนาดมีการนำไม้กั้นเก็บค่าผ่านทางที่รถยนต์จะผ่านเข้าไปด้วย โจทก์มีนายสถารัฐเบิกความว่า ไปพบชายหญิงชรา ๒ คนอยู่ในบ้านของจำเลยทั้งสองบอกว่ามารักษาตาที่มองไม่เห็นแล้วสามารถมองเห็นได้ จำเลยที่ ๑ บอกกับนายสถารัฐว่า บุตรของตนเทพให้มาเกิด ทั้งว่าเอาปัสสาวะของเด็กชายวุ่นหรืออาจารย์น้อยหยดใส่ตาชายหญิงชรา ๒ คนดังกล่าว แล้วก็ตามหายบอดพร้อมทั้งชี้ไปยังคนดังกล่าวด้วย ร้อยตำรวจตรีสุชาติเบิกความว่า จำเลยทั้งสองว่ามีผู้มารับการรักษาหายจากโรคไปแล้วเป็นจำนวนมาก ส่วนตอนทำพิธี นายสถารัฐและร้อยตำรวจตรีสุชาติต่างเบิกความต้องคำกันฟังได้ว่า ประชาชนที่ไปรับการรักษาต้องนำเงิน ๑๒ บาทพร้อมด้วยดอกไม้ธูปเทียนใส่จานไปยื่นให้จำเลย โดยนำไปวางที่ขันน้ำจำนวน ๖ ใบ ที่วางอยู่หน้ากระถางธูป จากนั้นจำเลยที่ ๑ ก็จะจุดเทียนหยดน้ำตาเทียนลงในขันบอกว่าน้ำดังกล่าวเป็นน้ำมนต์ ใช้รักษาโรคได้ ให้ประชาชนเอาใส่ภาชนะอื่นไป มีจำเลยที่ ๒ นั่งอยู่ข้างจำเลยที่ ๑ คอยช่วยตักน้ำเพื่อใช้ทำน้ำมนต์ จำเลยที่ ๑ จะหยิบเอาดอกไม้ธูปเทียนและเงิน ๑๒ บาท แล้วส่งจานเปล่าคืนให้คนต่อไปปฏิบัติเช่นคนแรกๆ เห็นว่าการที่จำเลยทั้งสองจัดเตรียมกระถางธูปขึ้น ๖ ใบ สำหรับทำน้ำมนต์มาตั้งไว้และทำน้ำมนต์โดยกล่าวเสริมว่าน้ำมนต์นี้ใช้รักษาโรคได้ แล้วเก็บเงินค่าครูรวมทั้งดอกไม้ธูปเทียนไว้ ซึ่งตามความเป็นจริงย่อมเป็นที่รู้กันทั่วไปรวมทั้งจำเลยทั้งสองว่าน้ำมนต์ไม่ใช่ยารักษาโรค แต่จำเลยทั้งสองกลับกล่าวอวดอ้างว่าเด็กชายวุ่นซึ่งได้รับยกย่องว่าเป็นอาจารย์น้อยเป็นคนมีบุญเพราะเทพให้มาเกิด ทำนองว่าเป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์ ทำให้ประชาชนหลงเชื่อว่าน้ำมนต์เป็นของศักดิ์สิทธิ์ สามารถรักษาโรคต่างๆ ได้ ทั้งมีการจัดอุปกรณ์ดังกล่าวและทำน้ำมนต์ให้ปรากฏแก่สายตาประชาชนอันล้วนแต่เป็นการหลอกลวงประชาชนทั้งสิ้นจึงเป็นการร่วมกันทุจริตโดยกระทำด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชนเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวง จำเลยจึงมีความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามฟ้องแต่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาปรับบทลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๓ โดยไม่ระบุวรรคใดนั้น เห็นสมควรระบุเสียให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๔๓ วรรคแรก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share