แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พนักงานเดินหมายนำสำเนาอุทธรณ์ของโจทก์ไปส่งให้แก่จำเลย 2 ครั้ง ณ ภูมิลำเนาตามฟ้อง แต่ไม่พบจำเลย พบแต่ประตูบ้านปิดใส่กุญแจ และสอบถามผู้ที่อยู่บ้านข้างเคียง ไม่มีใครทราบว่าจำเลยไปไหน ครั้นนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์พนักงานเดินหมายนำหมายนัดไปส่งให้แก่จำเลย ณ ภูมิลำเนาเดิมโดยในครั้งที่สองได้ปิดหมายไว้ จำเลยไปฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ตามกำหนดนัด เช่นนี้ แสดงว่าการที่พนักงานเดินหมายไม่พบจำเลยอาจเป็นเพราะจำเลยไม่อยู่บ้านหรือออกไปทำงานในตอนเช้าและกลับบ้านในตอนเย็นดังจำเลยกล่าวอ้างก็ได้ ถือไม่ได้ว่าการส่งสำเนาอุทธรณ์ของโจทก์ให้แก่จำเลยไม่ได้นั้นเป็นเพราะหาตัวจำเลยไม่พบ หรือหลบหนีหรือจงใจไม่รับสำเนาอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 201 การพิจารณาพิพากษาคดีของศาลอุทธรณ์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 200
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขับรถยนต์ซึ่งเปลี่ยนแปลงสภาพเป็นรถแข่งไปตามถนนโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและทรัพย์สินเสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๑ พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๓ และ ๑๕๗
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๑ พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๓ และ ๑๕๗ ลงโทษจำคุก ๒ ปีและปรับ ๑๐,๐๐๐ บาท โทษจำคุกให้รอไว้มีกำหนด ๓ ปี
โจทก์อุทธรณ์ขอไม่ให้รอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่รอการลงโทษและไม่ปรับนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาเบื้องต้นตามฎีกาของจำเลยว่า ในการส่งสำเนาอุทธรณ์ของโจทก์ให้แก่จำเลยนั้น พนักงานเดินหมายได้นำสำเนาอุทธรณ์ของโจทก์ไปส่งให้แก่จำเลย ณ ภูมิลำเนาของจำเลย ซึ่งตรงตามภูมิลำเนาของจำเลยในคำฟ้องรวม ๒ ครั้ง และปรากฏจากรายงานการเดินหมายทั้งสองครั้งว่า ไม่พบจำเลย พบประตูปิดใส่กุญแจ สอบถามผู้ที่อยู่บ้านข้างเคียง ไม่มีใครทราบว่าจำเลยไปไหน แต่เมื่อพนักงานเดินหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไปส่งให้แก่จำเลยในครั้งแรก ก็ไม่พบจำเลยเช่นเดียวกัน ในการส่งหมายนัดครั้งที่ ๒ พนักงานเดินหมายส่งหมายนัดได้โดยการปิดหมายไว้ที่ภูมิลำเนาของจำเลย จำเลยมาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ตามกำหนดนัด จึงแสดงว่าการที่พนักงานเดินหมายไม่พบจำเลยนั้นอาจเป็นเพราะจำเลยไม่อยู่บ้านหรือออกไปทำงานในตอนเช้าและกลับบ้านในตอนเย็นดังที่จำเลยกล่าวอ้างมาในฎีกาก็ได้ จึงถือไม่ได้ว่าการส่งสำเนาอุทธรณ์ของโจทก์ให้แก่จำเลยไม่ได้นั้นเป็นเพราะหาตัวจำเลยไม่พบ หรือหลบหนี หรือจงใจไม่รับสำเนาอุทธรณ์ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๐๑ ที่ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาคดีโดยมิได้มีการส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยเพื่อแก้นั้น จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๐๐
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการในเรื่องส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยแล้วส่งให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาคดีใหม่