คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2651/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทั้งสามซื้อพลอยจากโจทก์แล้วออกเช็คพิพาทลงวันที่ล่วงหน้าชำระหนี้ค่าพลอยให้โจทก์ ต่อมาเช็คนั้นหายไปจากความครอบครองของโจทก์และมีผู้แก้ไขวันออกเช็คและนำเช็คดังกล่าวเบิกเงินไปในบัญชีของจำเลยที่ธนาคารไป ดังนี้ เมื่อพฤติการณ์ของโจทก์มีส่วนทำให้เกิดกรณีเช็คพิพาทถูกลัก โจทก์มีส่วนผิดเป็นเหตุให้เช็คพิพาทหายไปและเช็คนั้นได้ใช้เงินแล้ว หนี้ที่จำเลยต้องชำระราคาพลอยให้แก่โจทก์ย่อมจะระงับไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 วรรคสาม จำเลยทั้งสามไม่ต้องรับผิดชำระค่าพลอยที่ซื้อไปจากโจทก์ให้แก่โจทก์อีก แม้เมื่อโจทก์ทราบว่าเช็คหายโจทก์ได้รีบบอกแก่จำเลยและธนาคารเพื่อไม่ให้ใช้เงินแล้ว แต่ปรากฏว่าโจทก์บอกกล่าวแก่จำเลยหลังจากที่มีการใช้เงินตามเช็คแล้ว การบอกกกล่าวจึงไม่เป็นประโยชน์แก่โจทก์
หมายเหตุ มติที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 3/2529

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสามสั่งซื้อพลอยราคา ๖๘,๐๐๐ บาทจากโจทก์ ได้รับพลอยไปแล้วและสั่งจ่ายเช็คลงวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๒๔ ให้แก่โจทก์ชำระราคาพลอย แต่ในวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๒๔ เช็คดังกล่าวหายไปจากโจทก์ โจทก์จึงไม่ได้รับเงินตามเช็ค ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระราคาสินค้าจำนวน ๖๘,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสามให้การว่าที่โจทก์ทำเช็คหายเป็นความผิดของโจทก์เอง โจทก์ไม่สุจริตร่วมกับพวกขีดฆ่าวันที่ลงในเช็คแล้วไปขอรับเงินก่อนเช็คถึงกำหนดการซื้อขายรายนี้ได้มีการส่งมอบของและชำระเงินกันเสร็จเรียบร้อย และโจทก์ได้รับเงินแล้ว เป็นการซื้อขายเสร็จเด็ดขาด จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิจารณาแล้วได้ความว่า จำเลยทั้งสามซื้อพลอยแดง ๑ เม็ดจากโจทก์ในราคา ๖๘๐,๐๐๐ บาท แล้วออกเช็คพิพาทลงวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๒๔ ตามสำเนาเช็คเอกสารหมาย จ.๕ ชำระหนี้ให้โจทก์ ต่อมาเช็คนั้นหายไปจากความครอบครองของโจทก์และมีผู้แก้ไขวันออกเช็คเป็นวันที่ ๕ ครั้นวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๒๔ นายไพบูลย์ เกียรติวัฒนาศิลป์ นำเช็คดังกล่าวเบิกเงินในบัญชีของจำเลยที่ธนาคารไปมีปัญหาว่าจำเลยทั้งสามต้องรับผิดชำระค่าพลอยที่ซื้อไปจากโจทก์อีกหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหานี้โดยที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า ภูมิลำเนาของโจทก์อยู่ที่กรุงเทพมหานคร ธนาคารผู้จ่ายเงินตามเช็คพิพาทก็ตั้งอยู่ที่กรุงเทพมหานคร โจทก์ไปทำธุรกิจที่จังหวัดเชียงใหม่ชั่วคราวจะกลับก่อนวันเช็คถึงกำหนด ไม่มีความจำเป็นที่ต้องนำเช็คพิพาทติดตัวไปด้วย ปรากฏตามคำให้การโจทก์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรแม่ปิง อำเภอเมืองเชียงใหม่ว่า ระหว่างพักอยู่ที่โรงแรมที่จังหวัดเชียงใหม่ โจทก์พานายกิตติศักดิ์ ซึ่งโจทก์ไม่รู้จักนามสกุล ไม่ทราบที่อยู่ เพียงแต่ทราบว่าเป็นคนกรุงเทพมหานคร ไปพักในห้องเดียวกัน จนเป็นเหตุให้เช็คพิพาท สมุดฝากเงินต่อธนาคารและบัตรประจำตัวประชาชนของโจทก์ถูกลักไป แล้วมีผู้นำเช็คพิพาทไปเบิกเงิน นำสมุดฝากเงินกับบัตรประจำตัวประชาชนของโจทก์เป็นหลักฐานไปถอนเงินจากธนาคาร ดังนี้ พฤติการณ์ของโจทก์จึงเป็นที่เห็นได้ว่ามีส่วนทำให้เกิดกรณีเช็คพิพาทถูกลัก และโดยที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๒๑ วรรคสาม บัญญัติว่า “ถ้าชำระหนี้ด้วยออก ด้วยโอน หรือด้วยสลักหลังตั๋วเงิน หรือประทวนสินค้า ท่านว่าหนี้นั้นจะระงับสิ้นไปต่อเมื่อตั๋วเงินหรือประทวนสินค้านั้นได้ใช้เงินแล้ว” เมื่อโจทก์มีส่วนผิดเป็นเหตุให้เช็คพิพาทหายไปและเช็คนั้นได้ใช้เงินแล้ว หนี้ที่จำเลยต้องชำระราคาพลอยแดงให้แก่โจทก์ย่อมจะระงับไป จำเลยทั้งสามไม่ต้องรับผิดชำระค่าพลอยที่ซื้อไปจากโจทก์ให้แก่โจทก์อีก ที่โจทก์ฎีกาอ้างว่า เมื่อโจทก์ทราบว่าเช็คหายโจทก์ได้รีบบอกแก่จำเลยและธนาคารเพื่อไม่ให้ใช้เงินแล้ว โจทก์จึงได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๐๑๑ และมาตรา ๑๐๑๐ มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากจำเลยนั้น ปรากฏว่าโจทก์บอกกล่าวแก่จำเลยหลังจากที่มีการใช้เงินตามเช็คแล้ว การบอกกล่าวไม่เป็นประโยชน์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า หนี้ระหว่างโจทก์จำเลยระงับไปแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๒๑ วรรคสาม ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share