แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ข้อบังคับเกี่ยวกับโครงการเงินบำเหน็จเมื่อออกจากงานของจำเลยกำหนดจำนวนเงินบำเหน็จในกรณีลูกจ้างออกจากงานเพราะเกษียณอายุว่า ‘……….จำนวนเงินบำเหน็จจะเท่ากับเงินเดือนมูลฐานครั้งสุดท้ายทั้งเดือน คูณด้วยจำนวนปีของการเป็นลูกจ้างในบริษัท’ คำว่า เงินเดือนมูลฐานมีความหมายจำกัดลงมาเฉพาะเงินเดือนที่แท้จริง ค่านำร่องพิเศษหาใช่เงินเดือนมูลฐานอันจะนำมาคำนวณจำนวนเงินบำเหน็จไม่ต่างกับเรื่องค่าจ้างที่จะนำค่านำร่องพิเศษมาเป็นฐานคำนวณค่าชดเชย
ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยหมวดวินัยและโทษทางวินัยระบุว่าการเตือนด้วยวาจา และการเตือนเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นโทษทางวินัย โดยหัวหน้าฝ่ายเป็นผู้มีอำนาจลงโทษสองสถานนี้ได้ และหมวดการยื่นคำร้องทุกข์และข้อเสนอแนะ กำหนดให้นายเรือมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าฝ่ายด้วย โจทก์ซึ่งเป็นกัปตัน หรือนายเรือจึงเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ทำการแทนนายจ้างสำหรับกรณีการลงโทษ โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าทำงานในวันหยุด ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ฯ ข้อ 43 และ 36(1)
ตามข้อบังคับเกี่ยวกับโครงการเงินบำเหน็จเมื่อออกจากงานของจำเลยข้อ 9 (ค) ให้สิทธิแก่จำเลยที่จะหักเงินจำนวนเท่าค่าชดเชยออกจากเงินบำเหน็จได้ จำเลยได้ใช้สิทธินำค่าชดเชยส่วนอื่นไปหักจากเงินบำเหน็จตามที่แจ้งให้โจทก์ไปรับแล้วการที่มิได้นำค่าชดเชยในเงินค่าเบี้ยเลี้ยงไปหักออกด้วย ก็เพราะจำเลยเข้าใจว่าเบี้ยเลี้ยงมิใช่ค่าจ้าง เมื่อเบี้ยเลี้ยงเป็นค่าจ้าง ทั้งจำเลยก็ได้แสดงเจตนาขอหักมาในคำให้การแล้ว จึงชอบที่จะหักเงินค่าชดเชยที่เพิ่มขึ้นออกจากเงินบำเหน็จที่จำเลยจะต้องจ่ายได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างประจำของจำเลย ตำแหน่งสุดท้ายเป็นกัปตันเรือขนส่งน้ำมัน มีเงินเดือนมูลฐานครั้งสุดท้ายทั้งเดือน ๓๖,๒๖๐ บาท เป็นเงินเดือนจำนวน ๓๐,๒๖๐ บาท ค่านำร่องพิเศษอีก ๖,๐๐๐ บาท ต่อมาจำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุเกษียณอายุ จำเลยจะต้องจ่ายเงินตามโครงการออมทรัพย์และเงินบำเหน็จให้โจทก์ การจ่ายเงินบำเหน็จจำเลยไม่นำค่านำร่องพิเศษมารวมเป็นฐานคำนวณด้วย จึงไม่ถูกต้อง นอกจากนั้นจำเลยยังต้องจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ แต่จำเลยมิได้นำเงินเบี้ยเลี้ยงอีกวันละ ๙๐ บาทมารวมเป็นฐานคำนวณ จึงจ่ายขาดไป ๑๑,๖๑๐ บาทและโจทก์มีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันหยุดซึ่งขอคิดเพียง ๖ ปี นับแต่พ.ศ. ๒๕๒๑ ถึง พ.ศ. ๒๕๒๖ ขอให้บังคับโจทก์จ่ายเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยให้จำเลย
จำเลยให้การว่า ตามระเบียบข้อบังคับการทำงานและโครงการเงินบำเหน็จของจำเลย การจ่ายเงินบำเหน็จให้ถือเงินเดือนเป็นมูลฐานอย่างเดียว และจำเลยมีสิทธิหักเงินออมทรัพย์หรือเงินบำเหน็จออกเท่ากับค่าชดเชยได้ จำเลยจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ไปแล้ว ๒๖๐,๙๓๐ บาท โจทก์จะเอาเบี้ยเลี้ยงมาคำนวณด้วยไม่ได้ เพราะมิใช่ค่าจ้าง แต่ถ้าศาลฟังว่าเป็นค่าจ้างจำเลยก็ขอใช้สิทธิหักเงินค่าชดเชยจำนวนที่เพิ่มขึ้นออกจากเงินออมทรัพย์หรือเงินบำเหน็จ สำหรับวันหยุดตามประเพณีและวันหยุดพักผ่อนประจำปีโจทก์ใช้สิทธิไปหมดแล้ว อย่างไรก็ดี เงินค่าทำงานในวันหยุดเป็นค่าจ้างมีอายุความ ๒ ปี ขาดอายุความแล้ว และจำนวนเงินที่โจทก์คิดมาก็ไม่ถูกต้อง ทั้งโจทก์เป็นกัปตันเรือซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีอำนาจหน้าที่ทำการแทนจำเลยในการให้บำเหน็จ ลงโทษหรือวินิจฉัยข้อร้องทุกข์ของพนักงานประจำเรือได้ไม่มีสิทธิได้รับค่าทำงานในวันหยุด
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินตามโครงการออมทรัพย์ ๑๑๑,๑๘๐ บาท เงินบำเหน็จ ๑๘๐,๓๖๑ บาท ๖๗ สตางค์ (โดยหักค่าชดเชยที่จ่ายไปจำนวน ๒๖๐,๙๓๐ บาทออกแล้ว) ค่าชดเชยที่ยังขาดอยู่ ๑๑,๖๑๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกเสีย
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า โจทก์อุทธรณ์ว่า ค่านำร่องพิเศษเป็นส่วนหนึ่งของเงินเดือนอันถือว่าเป็นเงินเดือนมูลฐานสำหรับนำมาคำนวณเงินบำเหน็จด้วย พิเคราะห์แล้ว ข้อบังคับเกี่ยวกับโครงการเงินบำเหน็จเมื่อออกจากงานของจำเลย เอกสารหมาย จ.๕ กำหนดจำนวนเงินบำเหน็จในกรณีลูกจ้างออกจากงานเพราะเกษียณอายุไว้ในข้อ ๘ (ก) ว่า’……… จำนวนเงินบำเหน็จจะเท่ากับเงินเดือนมูลฐานครั้งสุดท้ายทั้งเดือน คูณด้วยจำนวนปีของการเป็นลูกจ้างในบริษัท…………’ คำว่า เงินเดือนมูลฐาน เห็นได้ว่ามีความหมายจำกัดลงมาเฉพาะเงินเดือนที่แท้จริงโจทก์ได้รับเงินเดือนเดือนละ ๓๐,๒๖๐ บาท ค่านำร่องพิเศษเดือนละ ๖,๐๐๐ บาท ดังนี้ ค่านำร่องพิเศษหาใช่เงินเดือนมูลฐานไม่ คำพิพากษาฎีกาที่โจทก์อ้างเป็นเรื่องค่าจ้างที่จะนำมาเป็นฐานคำนวณค่าชดเชย ไม่ตรงกัน ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าจำเลยไม่ต้องนำค่านำร่องพิเศษมาเป็นฐานคำนวณเงินบำเหน็จ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
โจทก์อุทธรณ์ว่า โจทก์เป็นกัปตันเรือ แม้เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดในเรือขณะที่เรือแล่นอยู่ในทางน้ำ แต่โจทก์มิได้มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนดไว้ในประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ ๓๖(๑) เช่น ไม่สามารถจ้างลดค่าจ้าง เลิกจ้างลูกเรือ โจทก์จึงมีสิทธิที่จะได้รับค่าทำงานในวันหยุด พิเคราะห์แล้วหนังสือคู่มือนโยบายและข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย เอกสารหมาย ล.๑๔ หมวดวินัยและโทษทางวินัย แสดงว่า การเตือนด้วยวาจาและการเตือนเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นโทษทางวินัย โดยหัวหน้าฝ่ายเป็นผู้มีอำนาจลงโทษสองสถานนี้ได้ และหมวดการยื่นคำร้องทุกข์และข้อเสนอแนะ (การสื่อข้อความ) ข้อ ๗.๑ กำหนดให้นายเรือมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าฝ่ายตามระเบียบนี้ด้วย ดังนั้น โจทก์ซึ่งเป็นกัปตันหรือนายเรือจึงเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ทำการแทนนายจ้างสำหรับกรณีการลงโทษ ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ ๓๖ (๑)ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าทำงานในวันหยุดตามประกาศกระทรวงมหาดไทยฉบับดังกล่าว ข้อ ๔๓ และ ๓๖ (๑) ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
จำเลยอุทธรณ์ว่า หากศาลฎีกาฟังว่า เงินเบี้ยเลี้ยงเป็นค่าจ้างต้องนำมาเป็นฐานคำนวณค่าชดเชยให้แก่โจทก์ซึ่งจะเป็นค่าชดเชยจำนวน ๑๑,๖๑๐ บาท จำเลยก็ขอให้นำค่าชดเชยจำนวนนี้ไปหักออกจากเงินออมทรัพย์หรือเงินบำเหน็จที่จำเลยจะต้องจ่ายให้แก่โจทก์ด้วย พิเคราะห์แล้ว ข้อบังคับเกี่ยวกับโครงการเงินบำเหน็จเมื่อออกจากงาน เอกสารหมาย จ.๕ ข้อ ๙ (ค) กำหนดว่า’หากรัฐหรือรัฐบาลได้นำโครงการหรือกองทุนเงินบำนาญหรือผลประโยชน์เมื่อออกจากงาน หรือเงินทุนสงเคราะห์สำหรับผู้ที่ออกจากงานเมื่อสูงอายุ หรือผลประโยชน์อื่นมาใช้ภายหลังนี้หรือได้นำมาดัดแปลงเพื่อใช้บังคับกับลูกจ้างของบริษัทหรือถ้าภายหลังจากนี้บริษัทมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องจ่ายเงินบำเหน็จเมื่อออกจากงาน หรือเงินชดเชยอย่างอื่นใดในการออกจากงานให้แก่ลูกจ้างเช่นว่านี้ บริษัทจะหักเงินตามจำนวนที่บริษัทมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องจ่ายแก่ลูกจ้างหรือบุคคลอื่นเนื่องจากลูกจ้างออกจากงานของบริษัท ออกจากจำนวนเงินบำเหน็จที่จะพึงจ่ายให้แก่ลูกจ้างตามข้อ ๘’ เป็นการให้สิทธิแก่จำเลยที่จะหักเงินจำนวนเท่าค่าชดเชยออกจากเงินบำเหน็จได้ กรณีนี้เห็นว่า จำเลยได้ใช้สิทธินำค่าชดเชยส่วนอื่นไปหักจากเงินบำเหน็จตามที่แจ้งให้โจทก์ไปรับแล้ว การที่มิได้นำค่าชดเชยจำนวนนี้ไปหักออกด้วย ก็เพราะจำเลยเข้าใจว่าเบี้ยเลี้ยงมิใช่ค่าจ้างทั้งจำเลยก็ได้แสดงเจตนาขอหักมาในคำให้การแล้ว จึงชอบที่จะหักเงินจำนวน ๑๑,๖๑๐ บาท เท่าค่าชดเชยที่เพิ่มขึ้นออกจากเงินบำเหน็จที่จำเลยจะต้องจ่ายได้ ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า จำเลยไม่มีสิทธินำค่าชดเชยจำนวนนี้ไปหักจากเงินบำเหน็จศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจ่ายเงินบำเหน็จแก่โจทก์ ๑๖๘,๗๕๑ บาท ๖๗ สตางค์ และไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยในต้นเงินออมทรัพย์และเงินบำเหน็จนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง