แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและเรียกค่าเช่ากับค่าเสียหาย จำเลยให้การว่าไม่เคยเช่าที่ดินโจทก์และได้ออกจากที่พิพาทไปแล้วก่อนสืบพยานโจทก์ จำเลยขอให้ศาลชี้ขาด ข้อกฎหมายเบื้องต้นว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะสำเนาเอกสาร ท้ายฟ้องมิใช่สัญญาเช่าและจำเลยออกจากที่พิพาทไปแล้ว ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์จำเลยและพิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์อุทธรณ์ว่าศาลชั้นต้นยกฟ้องโจทก์โดยอ้างว่า บันทึกประจำวันท้ายฟ้องไม่ใช่สัญญาเช่านั้นไม่ชอบ ขอให้พิพากษาให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์แล้วพิจารณาใหม่ตามรูปคดีดังนี้ ประเด็นตามอุทธรณ์ของโจทก์มีเพียงว่า บันทึกประจำวันท้ายฟ้องเป็นหลักฐานการเช่าหรือไม่ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คำฟ้องของโจทก์แสดงว่ามีข้อโต้แย้ง เกิดขึ้นระหว่างโจทก์จำเลยเกี่ยวกับที่พิพาท ต้องฟังข้อเท็จจริงจากการนำสืบของคู่ความก่อนแล้วให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่นั้น จึงไม่ตรงตามประเด็นที่โจทก์อุทธรณ์เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าบันทึกประจำวันท้ายฟ้องไม่ใช่ หลักฐานการเช่าแล้ว ก็ต้องยกฟ้องโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดิน จำเลยทั้งหมดได้เช่าที่ดินโจทก์ตั้งแต่เดือนมีนาคม ๒๕๒๐ จนถึงวันฟ้องและขอเช่ามีกำหนด ๑๐ ปี แต่โจทก์ไม่ยอมนับแต่จำเลยเข้าทำสวนองุ่นในที่ดินของโจทก์แล้ว ไม่เคยส่งค่าเช่าให้โจทก์เลย โจทก์บอกเลิกการเช่าแล้ว จำเลยทั้งหมดยังไม่ออกไป จึงเป็นการทำละเมิดนับแต่เดือนมีนาคม ๒๕๒๐ จนถึงวันฟ้องจำเลยต้องเสียค่าเช่าให้โจทก์ ๔๐,๐๐๐บาท และต้องเสียปีละ ๘,๐๐๐ บาท ต่อไปจนกว่าจำเลยจะออกไปพ้นที่ดินโจทก์ ขอให้ขับไล่จำเลยทั้งหมดออกจากที่ดินโจทก์ และให้จำเลยเสียค่าเช่า ๔๐,๐๐๐บาท และเสียค่าเช่าเป็นรายปี ปีละ ๘,๐๐๐ บาท จนกว่าจำเลยทั้งหมดจะออกไปจากที่ดินโจทก์
จำเลยที่ ๑, ๒, ๔ และ ๕ ให้การว่าไม่ได้เช่าที่พิพาทของโจทก์ จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เข้าทำประโยชน์ในที่ดินโดยความยินยอมของบิดาโจทก์ และออกไปจากที่พิพาท ตั้งแต่เดือนเมษายน ๒๕๒๕ สำหรับจำเลยที่ ๓,๔ และ ๕ ไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้องกับที่พิพาท หากจำเลยต้องรับผิดชำระค่าเช่าจะเป็นเงินไม่เกิน ๑๒,๐๐๐ บาทและและค่าเสียหายไม่เกินปีละ ๒,๔๐๐ บาท โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะจำเลยไม่เคยเช่าที่พิพาทและรายงานประจำวันธุรการของสถานีตำรวจฯ เอกสารท้ายฟ้องไม่ใช่หลักฐานการเช่าอสังหาริมทรัพย์ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ขาดนัดยื่นคำให้การ
ระหว่างพิจารณาจำเลยขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาข้อกฎหมายเบื้องต้นว่าบันทึกประจำวันของสถานีตำรวจภูธรอำเภอดำเนินสะดวกในคดีนี้ไม่ใช่หลักฐานการเช่าโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง และจำเลยแถลงว่าจำเลยและบริวารออกจากที่พิพาทไปแล้ว โจทก์รับว่าสัญญาเช่าไม่มี คงมีแต่บันทึกประจำวัน ฯตามเอกสารท้ายฟ้อง
ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์ จำเลย แล้วพิพากษาว่า บันทึกประจำวันของสถานีตำรวจภูธรอำเภอดำเนินสะดวกตามเอกสารท้ายฟ้องไม่ใช่หลักฐานการเช่าและจำเลยได้เก็บเกี่ยวพืชผลออกจากที่พิพาทไปแล้ว ตั้งแต่เดือนเมษายน ๒๕๒๕ก่อนที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คำฟ้องของโจทก์แสดงว่ามีข้อโต้แย้งสิทธิระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งหมดแล้ว และขอให้ขับไล่จำเลยทุกคนออกไป ให้ใช้ค่าเช่าค่าเสียหายจึงต้องฟังข้อเท็จจริงจากการนำสืบของคู่ความก่อน พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปจนสิ้นกระแสความแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยที่ ๑, ๒, ๔, และ ๕ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นเห็นว่ารายงานประจำวันธุรการฯเอกสารท้ายฟ้อง ไม่มีข้อความอันใดพอที่จะอนุมานได้ว่ามีการตกลงเช่าที่พิพาทต่อกันฯ พิพากษายกฟ้องโจทก์อุทธรณ์ว่าเมื่อจำเลยมีเจตนาจะเช่าสวนโจทก์แล้วบันทึกประจำวันเอกสารท้ายฟ้องต้องถือว่าเป็นสัญญาเช่ามีกำหนด ๕ ปี ที่ศาลชั้นต้นยกฟ้องโดยอ้างว่าบันทึกประจำวันดังกล่าวไม่ใช่สัญญาเช่าจึงไม่ชอบ ดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่าประเด็นตามอุทธรณ์ของโจทก์มีเพียงว่าเอกสารท้ายฟ้องเป็นหลักฐานการเช่าเป็นหนังสือหรือไม่ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคำฟ้องของโจทก์ แสดงว่ามีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นระหว่างโจทก์กับจำเลยทุกคนเกี่ยวกับที่พิพาท ต้องฟังข้อเท็จจริงจากการนำสืบของคู่ความก่อนนั้น ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยตรงตามประเด็นที่โจทก์อุทธรณ์ขึ้นมาไม่ ศาลฎีกาพิเคราะห์ข้อความในเอกสารท้ายฟ้องแล้วเห็นว่า จำเลยที่ ๑ ทำสวนองุ่นอยู่ในที่ดินซึ่งมีกรรมสิทธิ์ร่วมกันเมื่อตกลงแบ่งกันปรากฏว่าที่ดินส่วนของโจทก์ จำเลยที่ ๑ ทำสวนองุ่นอยู่ก่อนแล้วจำเลยที่ ๑ จึงขอทำสัญญา ๑๐ ปี ฝ่ายโจทก์จะให้เวลา ๕ ปี ในที่สุดตกลงกันไม่ได้ เช่นนี้จะว่าเอกสารท้ายฟ้องเป็นหลักฐานแสดงการเช่าอสังหาริมทรัพย์หาได้ไม่ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษากลับให้ยกฟ้อง