คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1120/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประมวลรัษฎากร มาตรา 12 ให้อำนาจแก่ผู้ร้องที่จะเรียกเก็บหนี้อันเกี่ยวกับภาษีอากร และให้อำนาจที่จะยึดและสั่งขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยผู้ที่ค้างชำระได้โดยไม่จำต้องนำคดีฟ้องร้องต่อศาล ดังนั้น แม้ผู้ร้องจะเป็นบุคคลภายนอก ก็อาจใช้สิทธิขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินของจำเลยได้ตามกฎหมาย
โจทก์เป็นเจ้าหนี้จำนองขอบังคับจำนอง โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้บุริมสิทธิจึงอยู่ในฐานะที่จะได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้รายอื่นเมื่อปรากฏว่าจำเลยไม่มีทรัพย์สินอื่นที่ผู้ร้องจะเอาชำระได้ ผู้ร้องแม้จะไม่อยู่ในฐานะเจ้าหนี้บุริมสิทธิ์ก็ชอบที่จะได้รับส่วนเฉลี่ยจากเงินที่เหลือจากการชำระหนี้จำนองของโจทก์

ย่อยาว

กรณีสืบเนื่องมาจากศาลพิพากษาตามยอมให้จำเลยชำระหนี้จำนวน ๔,๔๙๓,๔๒๔.๐๗ บาทแก่โจทก์ ต่อมาจำเลยผิดนัด โจทก์จึงนำยึดที่ดินของจำเลยรวม ๔๖ โฉนด เพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องมีหน้าที่จัดเก็บภาษีต่าง ๆ ตามประมวลรัษฎากรจำเลยค้างชำระภาษีเงินได้รวมเป็นเงิน ๔๓๘,๕๑๔.๘๕ บาท จำเลยไม่มีทรัพย์สินใดอีก ขอให้ศาลอนุญาตให้ผู้ร้องเฉลี่ยหนี้ดังกล่าวจากทรัพย์สินหรือเงินได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยคดีนี้ด้วย
โจทก์คัดค้านว่า ผู้ร้องไม่มีสิทธิที่จะขอเฉลี่ยทรัพย์ในคดีนี้เพราะมิได้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ผู้ร้องมิได้นำสืบว่าจำเลยไม่มีทรัพย์สินอื่นที่จะยึดชำระหนี้ได้ จึงไม่มีสิทธิเฉลี่ยเงินจากทรัพย์จำนอง ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าอุทธรณ์ของผู้ร้องไม่เป็นประโยชน์และสาระแก่คดีพิพากษาให้ยกอุทธรณ์ของผู้ร้อง
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า หนี้อันเกี่ยวกับภาษีอากรได้มีประมวลรัษฎากร มาตรา ๑๒ ให้อำนาจแก่ผู้ร้องที่ ๒ ที่จะเรียกเก็บและให้อำนาจที่จะยึดและสั่งขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยผู้ที่ค้างชำระนั้นได้ โดยไม่จำต้องนำคดีฟ้องร้องต่อศาล จึงเป็นที่เห็นได้ว่า แม้ผู้ร้องจะเป็นบุคคลภายนอก แต่ก็อาจจะใช้สิทธิขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินของจำเลยได้ตามกฎหมายส่วนปัญหาว่าจำเลยจะมีทรัพย์สินอื่นที่จะยึดเพื่อการชำระหนี้แก่ผู้ร้องอีกหรือไม่ ซึ่งศาลชั้นต้นได้หยิบยกขึ้นวินิจฉัยนั้น เห็นว่าปัญหาข้อนี้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นเป็นข้อโต้แย้งและคัดค้านไว้ จึงเป็นอันยุติฟังได้ตามคำร้องของผู้ร้องทั้งสองว่า จำเลยไม่มีทรัพย์สินอื่นที่ผู้ร้องจะเอาชำระได้ ผู้ร้องทั้งสองจึงมีสิทธิที่จะขอเฉลี่ยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๙๐ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า โจทก์เป็นเจ้าหนี้จำนองขอบังคับจำนองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๘๙ โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้บุริมสิทธิจึงอยู่ในฐานะที่จะได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้รายอื่น ผู้ร้องทั้งสองแม้จะไม่อยู่ในฐานะเจ้าหนี้บุริมสิทธิก็ชอบที่จะได้รับส่วนเฉลี่ยจากเงินที่เหลือจากการชำระหนี้จำนองของโจทก์
พิพากษากลับ อนุญาตให้ผู้ร้องทั้งสองเข้าเฉลี่ยในทรัพย์สินหรือเงินที่ขายหรือจำหน่ายทรัพย์สินของจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

Share