แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โรงแรมจำเลยที่ 1 เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน ไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคล จึงไม่อาจฟ้องหรือถูกฟ้องคดีได้
จำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วน และหุ้นส่วนทุกคนมอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการกิจการโรงแรมจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงมีอำนาจควบคุมและจัดการโรงแรมจำเลยที่ 1 ได้ชื่อว่าจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าสำนัก โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ได้
ป้ายประกาศยกเว้นความรับผิดระบุว่าทางโรงแรมจะไม่รับผิดชอบในความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่ทรัพย์สินใด ๆ ทั้งสิ้นนั้นเป็นเรื่องที่จำเลยทำขึ้นฝ่ายเดียว ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 677
รถยนต์เป็นเพียงทรัพย์สินธรรมดาทั่ว ๆ ไปเท่านั้น ถึงแม้ราคาจะค่อนข้างสูงก็ตาม แต่ก็ไม่มีลักษณะเป็นของมีค่าตามความหมายของมาตรา 675 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โจทก์ไม่จำต้องฝากและบอกราคาชัดแจ้ง กรณีไม่อยู่ในขอบข่ายที่จำเลยจะต้องรับผิดเพียง 500 บาท
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับพวกได้เช่าห้องพักอาศัยที่โรงแรมจำเลยที่ ๑ ซึ่งมีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ที่ได้รับมอบอำนาจให้ดำเนินกิจการแต่ผู้เดียว โจทก์ได้นำรถยนต์หมายเลขทะเบียน ๗ ก – ๓๔๖๖ ราคาพร้อมอุปกรณ์ ๒๗๓,๗๙๐ ไปด้วย ได้จอดไว้หน้าห้องพักบริเวณโรงแรมจำเลยที่ ๑ ครั้นรุ่งขึ้นปรากฏว่ารถยนต์คันดังกล่าวของโจทก์หายไป โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทั้งสองและพนักงานสอบสวนทราบ พนักงานสอบสวนตีราคารถยนต์ของโจทก์พร้อมอุปกรณ์และค่าตบแต่งเป็นเงิน ๒๗๐,๐๐๐ บาท โจทก์ขอให้จำเลยทั้งสองชดใช้ราคา จำเลยทั้งสองไม่ยอมชำระ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ ๑ มิได้เป็นบุคคลหรือนิติบุคคลตามกฎหมาย จำเลยที่ ๒ ไม่ได้ดำเนินกิจการของโรงแรมจำเลยที่ ๑ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โรงแรมจำเลยที่ ๑ ได้มีคำแจ้งความปิดประกาศไว้ในโรงแรมและหนังสือขอเช่าห้องพักมีข้อความว่าจะไม่รับผิดชอบต่อทรัพย์สินใด ๆ ของผู้ที่มาพัก ๖ วันแต่จะได้ฝากไว้แก่ทางโรงแรม ซึ่งผู้มาพักก็ได้ยินยอมแล้ว โรงแรมจำเลยที่ ๑ มีรั้วรอบขอบชิดและมียามรักษาการณ์ การที่รถโจทก์หายไปไม่ใช่เป็นเพราะความผิดของจำเลยที่ ๑ จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิด หากจำเลยจะต้องรับผิดก็ไม่เกิน ๕๐๐ บาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๗๕ วรรคสอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๒๒๑,๘๔๐ บาท
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โรงแรมปาล์มลอดจ์จำเลยที่ ๑ ก่อสร้างขึ้นโดยการรวมทุนของบุคคล ๔ คน รวมทั้งจำเลยที่ ๒ เข้าหุ้นกันโดยทุกคนได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ ๒เป็นผู้จัดการกิจการแห่งนี้ ไม่ปรากฏว่าเป็นห้างหุ้นส่วนที่ได้จดทะเบียนคงมีแต่หลักฐานการขอจดทะเบียนการค้าตามประมวลรัษฎากรเท่านั้น ดังนั้นโรงแรมดังกล่าวจึงเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญซึ่งผู้เป็นหุ้นส่วนหมดทุกคนต้องรับผิดร่วมกันเพื่อหนี้สินทั้งปวงของห้างโดยไม่จำกัดจำนวน โรงแรมจำเลยที่ ๑ ไม่เป็นนิติบุคคล ไม่อาจฟ้องหรือถูกฟ้องคดีได้ ดังนั้น โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๑ ได้ ส่วนจำเลยที่ ๒ นั้น โจทก์นำสืบฟังได้ว่า จำเลยที่ ๒ เป็นหุ้นส่วนคนหนึ่งและหุ้นส่วนทุกคนมอบอำนาจให้จำเลยที่ ๒ เป็นผู้จัดการกิจการของโรงแรมจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ ก็มีอำนาจควบคุมโรงแรมจำเลยที่ ๑ ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าสำนัก โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๒ ได้
สำหรับป้ายประกาศยกเว้นความรับผิดที่ระบุว่าทางโรงแรมจะไม่รับผิดชอบในความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่ทรัพย์สินใด ๆ ทั้งสิ้นนั้นเป็นเรื่องที่จำเลยทำขึ้นฝ่ายเดียวข้อความเช่นนี้เป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๗๗ จำเลยที่ ๒ ไม่พ้นความรับผิด
ส่วนข้อที่จำเลยอ้างว่าเจ้าสำนักต้องรับผิดชดใช้ถ้าไม่เกิน ๕๐๐ บาท โดยอ้างว่ารถยนต์เป็นของมีค่าโจทก์ไม่ได้บอกราคานั้นศาลฎีกาเห็นว่า รถยนต์เป็นเพียงทรัพย์สินธรรมดาทั่ว ๆ ไปเท่านั้น ถึงแม้ราคาจะค่อนข้างสูงก็ตาม แต่ก็ไม่มีลักษณะเป็นของมีค่าตามความหมายของมาตรา ๖๗๕ วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โจทก์ไม่จำต้องฝากและบอกราคาชัดแจ้ง กรณีไม่อยู่ในข่ายที่จำเลยที่ ๒ จะต้องรับผิดเพียง ๕๐๐ บาท
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ ๑ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์