คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 827/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาค้ำประกันการเบิกเงินเกินบัญชีที่ผู้ค้ำประกันยอมเข้าค้ำประกันการชำระหนี้รวมทั้งดอกเบี้ย ค่าสินไหมทดแทน ซึ่งลูกหนี้ค้างชำระ ตลอดจนค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้จนกว่าธนาคารโจทก์จะได้รับชำระหนี้โดยสิ้นเชิงนั้น เมื่อสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีมีวงเงิน 200,000 บาท ผู้ค้ำประกันย่อมต้องรับผิดตามสัญญาในวงเงิน 200,000 บาท รวมทั้งดอกเบี้ยจนกว่าธนาคารโจทก์จะได้รับชำระหนี้โดยสิ้นเชิง มิใช่รับผิดเฉพาะเพียงในวงเงิน 200,000 บาท เท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดมีจำเลยที่ ๒ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ในวงเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท กำหนดชำระคืนภายใน ๑๒ เดือน และเพื่อเป็นหลักประกันการชำระหนี้ จำเลยที่ ๒ ได้มอบสมุดบัญชีเงินฝากจำนวนเงิน ๑๔๐,๐๐๐ บาท ให้โจทก์ยึดถือไว้ เงินที่เบิกเกินบัญชีไปยอมให้ถือตามบัญชีกระแสรายวัน และยอมให้คิดดอกเบี้ยทบต้นได้ จำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๓ ได้เข้าค้ำประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ ๑ รวมทั้งดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทน ครั้นครบกำหนดสัญญาจะต้องชำระหนี้คืนจำเลยที่ ๑ เป็นหนี้เบิกเงินเกินบัญชีเป็นจำนวน ๓๗๙,๗๙๐ บาท ๔๘ สตางค์ ต่อจากนั้นได้นำเงินมาผ่อนชำระต้นเงินและดอกเบี้ยบ้าง จนกระทั่งวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๒๑ จำเลยที่ ๒ ยอมให้โจทก์นำเงินที่ฝากพร้อมดอกเบี้ยจำนวน ๑๔๓,๒๕๕ บาท ๒๙ สตางค์เข้าชำระหนี้ เมื่อหักทอนบัญชีแล้วจำเลยยังเป็นหนี้จำนวน ๒๔๑,๐๙๗ บาท ๔๕ สตางค์ ต่อจากนั้นมิได้ชำระหนี้อีก ต้นเงิน ๒๔๑,๐๙๗ บาท ๔๕ สตางค์ ดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง ๓๗,๕๗๐ บาท ๕๔ สตางค์ รวม ๒๗๘,๖๖๗ บาท ๙๙ สตางค์ ขอให้พิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระหนี้ดังกล่าว
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ให้การต่อสู้คดี
จำเลยที่ ๓ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระหนี้จำนวน ๒๗๘,๖๖๗ บาท ๙๙ สตางค์ พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๐ ต่อปีของเงิน ๑๔๐,๐๐๐ บาท และร้อยละ ๑๕ ต่อปีของเงิน ๑๐๑,๐๙๗ บาท ๔๕ สตางค์ นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามสัญญาค้ำประกันเบิกเงินเกินบัญชีข้อ ๑ มีความว่า เนื่องในการที่ธนาคารโจทก์ยอมให้ห้างจำเลยที่ ๑ ซึ่งเรียกว่า ผู้เบิกเงินเกินบัญชี เบิกเงินจากธนาคารตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีลงวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๑๙ เป็นจำนวนเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาทนั้นผู้ค้ำประกันยอมเข้าค้ำประกันการชำระหนี้รวมทั้งดอกเบี้ย ค่าสินไหมทดแทน ซึ่งลูกหนี้ค้างชำระ ตลอดจนค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้รายนี้ ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีที่กล่าวแล้ว จนกว่าธนาคารโจทก์จะได้รับชำระหนี้โดยสิ้นเชิง ดังนี้เห็นว่า ตามเอกสารดังกล่าวจำเลยที่ ๓ ในฐานะผู้ค้ำประกันต้องรับผิดตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีในวงเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท รวมทั้งดอกเบี้ยจนกว่าธนาคารโจทก์จะได้รับชำระโดยสิ้นเชิงมิใช่รับผิดเฉพาะเพียงในวงเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาทเท่านั้น และข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าเพียงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๒๑ จำเลยที่ ๑ เป็นหนี้โจทก์ ๓๘๐,๒๔๐ บาท ๒๐ สตางค์เมื่อนำเงินฝากและดอกเบี้ยของจำเลยที่ ๒ จำนวน ๑๔๓,๒๕๕ บาท ๒๙ สตางค์เข้าหักบัญชีเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๒๑ แล้วคงเหลือหนี้เป็นเงิน ๒๔๑,๐๙๗บาท ๔๕ สตางค์ ดังนี้ กรณีจึงเป็นการนำเงินเข้าบัญชีหักทอนหนี้สินตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี หาใช่จำเลยที่ ๒ ชำระหนี้จำนวน ๑๔๓,๒๕๕ บาท ๒๙ สตางค์ ในฐานะผู้ค้ำประกันอันจะให้ความรับผิดของจำเลยที่ ๓ ลดน้อยลงไม่ เมื่อความรับผิดของจำเลยที่ ๓ ตามสัญญาค้ำประกันมิได้จำกัดเฉพาะวงเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท ดังวินิจฉัยข้างต้น และในชั้นอุทธรณ์จำเลยที่ ๓ ก็มิได้โต้เถียงว่าโจทก์คิดดอกเบี้ยไม่ถูกต้องหรือไม่มีสิทธิเรียกร้อง ดังปรากฏตามที่ศาลอุทธรณ์ยกขึ้นกล่าว จึงเป็นอันยุติว่าโจทก์คิดคำนวณมาถูกต้องกล่าวคือยอดหนี้ถึงวันฟ้องเป็นจำนวน ๒๔๑,๐๙๗ บาท ๔๕ สตางค์ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดชำระเงินดังกล่าว แต่สำหรับดอกเบี้ยนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ แยกเป็นอัตราร้อยละ ๑๐ ต่อปีของเงิน ๑๔๐,๐๐๐ บาท และอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีของเงิน ๑๐๑,๐๙๗ บาท ๔๕ สตางค์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน

Share