แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้อง ก. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นจำเลยที่ 1 และม.อธิบดีกรมตำรวจเป็นจำเลยที่ 2 ขอให้พิพากษาว่าคำสั่งของจำเลยที่ 1 ที่ให้ถอนสัญชาติไทยของโจทก์เป็นคำสั่งที่มิชอบด้วยกฎหมายและให้เพิกถอนเสีย ศาลชั้นต้นรับฟ้องเฉพาะเกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ไม่รับฟ้องที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 คำสั่งศาลชั้นต้นถึงที่สุด ดังนี้ คำสั่งถอนสัญชาติของโจทก์เป็นคำสั่งของรัฐมนตรีว่าการกระทรงมหาดไทย แต่คดีคงมีจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นอธิบดีกรมตำรวจเป็นจำเลยแต่ผู้เดียว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมิได้เป็นคู่ความด้วย ไม่มีโอกาสโต้แย้งข้อกล่าวหาของโจทก์ ศาลจึงจะพิพากษาว่าคำสั่งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมิชอบด้วยกฎหมายและให้เพิกถอนเสียตามคำขอของโจทก์หาได้ไม่ แม้จะสืบพยานต่อไปและข้อเท็จจริงได้ความตามที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการถอนสัญชาติด้วย และเป็นผู้เสนอต่อคณะกรรมการถอนสัญชาติว่าควรถอนสัญชาติไทยของโจทก์โดยมิได้สืบสวนข้อเท็จจริงก่อน ก็หาเป็นเหตุให้ศาลอาจพิพากษาบังคับตามคำขอของโจทก์ได้ไม่ คดีจึงไม่ต้องสืบพยานต่อไป
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เกิดในประเทศไทยจึงเป็นบุคคลสัญชาติไทย ขณะโจทก์เป็นผู้เยาว์ได้ติดตามบิดามารดาซึ่งเป็นบุคคลสัญชาติอินเดียไปอยู่ประเทศอินเดีย โจทก์เดินทางเข้าประเทศไทยหลายครั้ง ครั้งสุดท้ายได้ยื่นคำขอพิสูจน์สัญชาติ จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการถอนสัญชาติซึ่งมีจำเลยที่ ๒ รวมอยู่ด้วย ได้มีคำสั่งให้ถอนสัญชาติไทยของโจทก์ซึ่งเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้พิพากษาว่าคำสั่งของจำเลยที่สั่งถอนสัญชาติไทยของโจทก์เป็นคำสั่งที่มิชอบด้วยกฎหมายให้จำเลยเพิกถอนคำสั่งดังกล่าวเสีย หากไม่ยอมก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ให้รับฟ้องโจทก์เฉพาะที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๒ ส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๑ นั้น โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๑ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แต่ปรากฏว่าขณะยื่นฟ้องได้พ้นจากตำแหน่งแล้วจึงไม่รับฟ้องโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๑
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า โจทก์ไปอยู่ประเทศอินเดียตั้งแต่ ๕ ขวบ เป็นเวลานานจึงเดินทางเข้ามาประเทศไทยในฐานะนักทัศนาจร ถือหนังสือเดินทางของประเทศอินเดีย ต่อมาได้ยื่นคำร้องขอพิสูจน์สัญชาติไทย คณะกรรมการถอนสัญชาติได้พิจารณาแล้วมีมติให้ถอนสัญชาติไทยของโจทก์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมีคำสั่งเพิกถอนสัญชาติของโจทก์ เป็นการใช้อำนาจโดยสุจริต จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้มีคำสั่ง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๒
ในวันชี้สองสถานศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีวินิจฉัยได้โดยไม่ต้องมีการสืบพยาน และวินิจฉัยว่าศาลรับฟ้องเฉพาะจำเลยที่๒ คำสั่งถึงที่สุดแล้ว จำเลยที่ ๒ ไม่มีอำนาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติสัญชาติ แม้ศาลจะพิจารณาคดีของโจทก์ต่อไปก็ไม่อาจบังคับให้จำเลยที่ ๒ กระทำตามที่โจทก์ขอได้ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้อง ก.รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นจำเลยที่ ๑ และม.อธิบดีกรมตำรวจเป็นจำเลยที่ ๒ ขอให้ศาลพิพากษาว่าคำสั่งของจำเลยที่ ๑ ที่ให้ถอนสัญชาติไทยของโจทก์ เป็นคำสั่งที่มิชอบด้วยกฎหมายและให้เพิกถอนเสีย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รับฟ้องเฉพาะเกี่ยวกับจำเลยที่ ๒ คำสั่งถึงที่สุดแล้ว ดังนี้ เห็นว่าคำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แต่คดีคงมีจำเลยที่ ๒ เป็นจำเลยแต่ผู้เดียว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยหรือกระทรวงมหาดไทยมิได้เป็นคู่ความด้วย ไม่มีโอกาสโต้แย้งข้อกล่าวหาของโจทก์ ศาลจึงจะพิพากษาว่า คำสั่งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมิชอบด้วยกฎหมายและให้เพิกถอนเสียตามคำขอของโจทก์หาได้ไม่ แม้จะสืบพยานต่อไปและข้อเท็จจริงได้ความตามที่โจทก์อ้างในฎีกาว่า จำเลยที่ ๒ เป็นกรรมการถอนสัญชาติด้วย และเป็นผู้เสนอต่อคณะกรรมการถอนสัญชาติว่าควรถอนสัญชาติไทยของโจทก์โดยมิได้สืบสวนข้อเท็จจริงก่อน ก็หาเป็นเหตุให้ศาลอาจพิพากษาบังคับตามคำขอของโจทก์ได้ไม่ คดีจึงไม่ต้องสืบพยานต่อไป
พิพากษายืน