คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9660/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้มีคำสั่งยกเลิกหมายบังคับคดีโดยอ้างว่า ศาลชั้นต้นได้ออกหมายบังคับคดีโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมายตาม ป.วิ.พ.มาตรา 296 วรรคหนึ่ง แต่เมื่อไม่มีเหตุที่ศาลจะมีคำสั่งเพิกถอนหรือแก้ไขหมายบังคับคดีศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะยกคำร้องได้ บทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวมิได้บังคับว่าศาลชั้นต้นจะต้องไต่สวนคำร้องก่อนมีคำสั่ง
ตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลมีคำพิพากษาตามยอมได้กำหนดวันเวลาที่จำเลยจะต้องชำระเงินให้โจทก์ไว้ก่อนวันเวลาที่โจทก์จะต้องมีหน้าที่ปฎิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ อันเป็นสัญญาต่างตอบแทนซึ่งมีกำหนดเวลาที่แน่นอน จำเลยจะเข้าใจเอาเองว่าโจทก์จะไม่ดำเนินการอย่างใด ๆ ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ แล้วจำเลยระงับการชำระค่าจ้างที่จำเลยมีหน้าที่ต้องชำระให้โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความไว้ชั่วคราวหาได้ไม่ เมื่อจำเลยไม่ชำระค่าจ้างให้โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความตามวันที่กำหนดไว้ ถือได้ว่าจำเลยผิดนัดโจทก์มีสิทธิขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีแก่จำเลยได้ทันที

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องว่า โจทก์รับจ้างก่อสร้างอาคารชุดพักอาศัย 9 ชั้น ให้แก่จำเลยทั้งเจ็ดตามที่ว่าจ้าง จำเลยทั้งเจ็ดค้างชำระค่าจ้าง จึงขอให้บังคับจำเลยทั้งเจ็ดชำระเงินจำนวน 9,092,067.12 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงิน 7,390,047.87 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ต่อมาโจทก์และจำเลยทั้งเจ็ดทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า โจทก์ตกลงยอมซ่อมแซมสิ่งบกพร่องของอาคารชุดพักอาศัย 9 ชั้น จำนวน 1 หลัง สระว่ายน้ำ และรั้วรอบอาคารที่จำเลยทั้งเจ็ดว่าจ้างโจทก์ปลูกสร้าง โดยจำเลยทั้งเจ็ดตกลงยอมชำระค่าจ้างที่ค้างจำนวน 6,000,000 บาท ให้แก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม ต่อมาโจทก์ยื่นคำขอว่าจำเลยทั้งเจ็ดผิดนัดไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ขอให้บังคับคดีแก่จำเลยทั้งเจ็ด ศาลชั้นต้นจึงออกหมายบังคับคดีแก่จำเลยทั้งเจ็ดเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2541
จำเลยทั้งเจ็ดยื่นคำร้องว่า สัญญาประนีประนอมยอมความเป็นสัญญาต่างตอบแทน เมื่อโจทก์ไม่ดำเนินการตามสัญญา จำเลยทั้งเจ็ดจึงไม่ชำระหนี้งวดแรกให้โจทก์ ขอให้ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งยกเลิกหมายบังคับคดี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2542 ว่า หมายบังคับคดีชอบแล้ว ไม่มีเหตุยกเลิก ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
จำเลยทั้งเจ็ดอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นลงวันที่ 27 มกราคม 2542 ให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องของจำเลยทั้งเจ็ดและมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งเจ็ดยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้มีคำสั่งยกเลิกหมายบังคับคดีโดยอ้างว่า ศาลชั้นต้นได้ออกหมายบังคับคดีโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมายตาม ป.วิ.พ. มาตรา 296 วรรคหนึ่ง ซึ่งหากได้ความจริงตามคำร้องของจำเลยทั้งเจ็ด ศาลก็มีอำนาจที่จะสั่งเพิกถอนหรือแก้ไขหมายบังคับคดีทั้งหมดหรือบางส่วนหรือมีคำสั่งอย่างใดตามที่ศาลเห็นสมควรได้ หากไม่ได้ข้อเท็จจริงตามคำร้องของจำเลยทั้งเจ็ด ศาลก็ชอบที่จะยกคำร้องเสียได้ บทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวมิได้บังคับว่าศาลจะต้องไต่สวนคำร้องก่อนมีคำสั่งเสมอไป ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวเป็นสัญญาต่างตอบแทนซึ่งมีกำหนดเวลาที่แน่นอน เมื่อจำเลยทั้งเจ็ดไม่ชำระค่าจ้างให้โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความตามวันที่กำหนดไว้ ถือได้ว่าจำเลยทั้งเจ็ดผิดนัด โจทก์มีสิทธิที่จะขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีแก่จำเลยทั้งเจ็ดได้ทันที การที่ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีจึงชอบแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งเพิกถอนหรือแก้ไขหมายบังคับคดี ศาลชั้นต้นจึงไม่จำต้องไต่สวนคำร้องของจำเลยทั้งเจ็ดอีกต่อไป
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำสั่งศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ.

Share