แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่ลูกหนี้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมให้แก่ผู้คัดค้าน แม้จะเป็นการชำระหนี้เพื่อให้หนี้ระงับก็ตาม แต่ก็เป็นการชำระหนี้ที่สืบเนื่องจากการที่ผู้คัดค้านให้จำเลยกู้เงินและกู้เบิกเงินเกินบัญชี จึงเป็นการที่จำเลยได้รับประโยชน์จากการนำเงินที่รับอนุมัติให้กู้จากผู้คัดค้านไปใช้ในธุรกิจของจำเลย การชำระหนี้ของจำเลยไม่ใช่เป็นการทำให้โดยเสน่หาหรือให้เปล่า ๆ ย่อมถือได้ว่าการชำระหนี้ของจำเลยเป็นการชำระหนี้โดยมีค่าตอบแทน
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ล้มละลายเมื่อวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๓๙ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๔๐ และพิพากษาให้ล้มละลายเมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๔๐ ขณะนี้ยังไม่พ้นจากภาวะล้มละลาย
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ระหว่างวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๓๖ ถึงวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๓๙ (ที่ถูกวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๓๙) จำเลยชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ จำนวน ๑๗๙,๙๒๗.๐๔ บาท และเมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๓๙ จำนวน ๑๐,๐๐๐ บาท ให้แก่ผู้คัดค้านอันเป็นการชำระหนี้ภายในกำหนดเวลา ๓ ปี และ ๓ เดือน ตามลำดับ ก่อนมีการขอให้ล้มละลาย เป็นการกระทำที่ไม่สุจริตและทำให้ผู้คัดค้านได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่น ขอให้มีคำสั่งเพิกถอนการชำระหนี้ระหว่างจำเลยกับผู้คัดค้านตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๑๑๔ และมาตรา ๑๑๕ ตามลำดับ และให้ผู้คัดค้านส่งมอบเงินจำนวน ๑๘๙,๙๒๗.๐๔ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการชำระหนี้จนกว่าจะชำระเสร็จ
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า การชำระหนี้ดังกล่าวเป็นการชำระหนี้ที่จำเลยและนางฮั้ว แจ่มแจ้ง ร่วมกันชำระหนี้ให้แก่ผู้คัดค้านตามคำพิพากษาตามยอม ผู้คัดค้านได้รับชำระหนี้ไว้โดยสุจริต และมีค่าตอบแทน ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้เพิกถอนการชำระหนี้ของจำเลยแก่ผู้คัดค้านระหว่างวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๓๖ ถึงวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๓๙ จำนวน ๑๘๙,๙๒๗.๐๔ บาท ให้ผู้คัดค้านส่งมอบเงินจำนวน ๑๘๙,๙๒๗.๐๔ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งเพิกถอนจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง กับให้ผู้คัดค้านใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนผู้ร้อง ผู้ร้องว่าคดีเองจึงไม่กำหนดค่าทนายความให้
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษายืน ผู้ร้องว่าคดีเองไม่กำหนดค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยกับนางฮั้ว แจ่มแจ้ง เป็นหนี้ผู้คัดค้านตามสัญญากู้ยืมเงิน กู้เบิกเงินเกินบัญชี ค้ำประกัน และจำนอง ผู้คัดค้านฟ้องจำเลยกับนางฮั้วเป็นคดีแพ่งต่อศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมเมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๓๖ ให้จำเลยกับนางฮั้วร่วมกันชำระเงินจำนวน ๔๔๕,๖๖๑.๗๑ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๘ ต่อปี ของต้นเงิน ๔๔๕,๑๗๔.๗๑ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้ชำระงวดแรก ๑๐๐,๐๐๐ บาท ในกำหนด ๑ เดือน ส่วนที่เหลือชำระให้เสร็จสิ้นภายใน ๕ เดือน นับแต่ชำระงวดแรกระหว่างวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๓๖ ถึงวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๓๙ จำเลยชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมให้แก่ผู้คัดค้าน รวม ๑๗ ครั้ง เป็นเงิน ๑๗๙,๙๒๗.๐๔ บาท และชำระเมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๓๙ อีก ๑๐,๐๐๐ บาท การชำระหนี้ดังกล่าวเป็นการชำระหนี้ภายในกำหนดเวลา ๓ ปี และ ๓ เดือน ก่อนมีการฟ้องขอให้จำเลยล้มละลาย ในคดีนี้มีเจ้าหนี้ขอรับชำระหนี้ ๒ ราย คือ โจทก์และผู้คัดค้าน ไม่ปรากฏว่าจำเลยมีทรัพย์สินที่อาจแบ่งได้ในคดีล้มละลาย มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาผู้คัดค้านว่า ผู้ร้องขอให้เพิกถอนการชำระหนี้ดังกล่าวได้หรือไม่ ประการแรกเกี่ยวกับการรับชำระหนี้ระหว่างวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๓๖ ถึงวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๓๙ รวม ๑๗ ครั้ง เป็นเงิน ๑๗๙,๙๒๗.๐๔ บาท เป็นการรับชำระหนี้โดยมีค่าตอบแทนหรือไม่ เห็นว่า การที่ลูกหนี้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมให้แก่ผู้คัดค้าน แม้จะเป็นการชำระหนี้เพื่อให้หนี้ระงับก็ตาม แต่ก็เป็นการชำระหนี้ที่สืบเนื่องจากการที่ผู้คัดค้านให้จำเลยกู้เงินและกู้เบิกเงินเกินบัญชี จึงเป็นการที่จำเลยได้รับประโยชน์จากการนำเงินที่รับอนุมัติให้กู้จากผู้คัดค้านไปใช้ในธุรกิจของจำเลย การชำระหนี้ของจำเลยไม่ใช่เป็นการทำให้โดยเสน่หาหรือให้เปล่า ๆ ย่อมถือได้ว่าการชำระหนี้ของจำเลยเป็นการชำระหนี้โดยมีค่าตอบแทน ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าเป็นการชำระหนี้โดยไม่มีค่าตอบแทน จึงให้เพิกถอนการชำระหนี้ดังกล่าวตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๑๑๔ (เดิม) นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของผู้คัดค้านฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนเฉพาะการชำระหนี้ เมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๓๙ จำนวน ๑๐,๐๐๐ บาท ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๑๑๕ ให้ผู้คัดค้านคืนเงินจำนวนดังกล่าวแก่ผู้ร้อง พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนจนกว่าจะชำระเสร็จ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.