แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าพนักงาน โดยเป็นข้าราชการชั้นจัตวาประจำแผนกบัญชีและพัสดุ มีหน้าที่ทำบัญชี จัดการเกี่ยวกับการเงิน ฯลฯ ได้ปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต กล่าวคือได้ยักยอกเอาเงินของกรมโยธาเทศบาลไปจำนวนหนึ่ง ในการกระทำทุจริตของจำเลยปรากฏว่าจำเลยใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยทุจริตนำเช็คที่สั่งจ่ายให้ผู้อื่นไปเบิกเงินเอาไปใช้ส่วนตัว ทำให้สาธารณชนและกรมโยธาเทศบาลเสียหาย และเพื่อปกปิดการกระทำดังกล่าว จำเลยบังอาจจดจำนวนเงินผิดจากความจริงลงในทะเบียนบัญชีเงินสดฯ อันเป็นหนังสือสำคัญในราชการซึ่งอยู่ในหน้าที่ของจำเลย พนักงานสอบสวนได้ยื่นฟ้องต่อศาลแขวงฯ ให้ไต่สวนมูลฟ้องฐานเป็นเจ้าพนักงานเบียดบังเอาทรัพย์เป็นประโยชน์โดยเจตนาทุจริต ศาลแขวงสั่งคดีมีมูล เหตุที่โจทก์ฟ้องต่อศาลอาญาในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ทำหนังสือราชการเท็จมาด้วยนั้น เพราะเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวกันเกี่ยวพันกันและต่อเนื่องกับข้อเท็จจริงในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำบัญชีและรักษาทรัพย์ เบียดบังเอาทรัพย์นั้นโดยทุจริตที่ศาลแขวงสั่งมีมูลนั้น
วินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องความผิด ฐานเป็นเจ้าพนักงานจดบัญชีเท็จดังกล่าวนั้น รวมมาได้ตามมาตรา 16 แห่ง พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ พ.ศ. 2499
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าพนักงานโดยเป็นข้าราชการชั้นจัตวาประจำแผนกบัญชี และพัสดุกองคลัง กรมโยธาเทศบาล มีหน้าที่ทำบัญชี จัดการเกี่ยวกับการเงินเบิกรับ จ่ายเงินและปกครองรักษาเงิน ฯลฯ ได้ปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต หลายบทหลายกระทง กล่าวคือ ก.จำเลยยักยอกเงินของกรมโยธาเทศบาลไปรวม ๕๖,๓๒๓.๓๗ บาท ข. ในการกระทำทุจริตดังกล่าวในข้อ ก.ปรากฏว่าจำเลยใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยทุจริต นำเช็คที่สั่งจ่ายให้นายเธียรในการก่อสร้างไปเบิกเงินเอาไปใช้ส่วนตัว ๓๘,๐๐๐ บาท ทำให้เกิดความเสียหายแก่สาธารณชนและกรมโยธา ฯ ค. เพื่อปกปิดการกระทำผิดของจำเลยดังกล่าวในข้อ ก.และ ข. จำเลยบังอาจจดทะเบียนบัญชีฯ อันเป็นหนังสือสำคัญในราชการ ซึ่งอยู่ในหน้าที่ของจำเลยโดยลงจำนวนเงินอันเป็นเท็จ พนักงานสอบสวนได้ยื่นฟ้องต่อศาลแขวงพระนครเหนือให้ไต่สวนมูลฟ้องฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำบัญชีและรักษาทรัพย์เบียดบังเอาทรัพย์เป็น ประโยชน์โดยทุจริตศาลแขวงฯ สั่งคดีมีมูล เหตุที่โจทก์ฟ้องต่อศาลอาญาในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตทำหนังสือราชการเท็จมาด้วยนั้น เพราะเป็นข้อเท็จจริงอันเดียว เกี่ยวพันกันและต่อเนื่องกันกับข้อเท็จจริงในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานเบียดบังเอาทรัพย์ไปโดยทุจริต ที่ศาลแขวงฯ สั่ง มีมูลนั้น
จำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำผิด
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษ
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาข้อหนึ่งว่า ตามฟ้องที่หาว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานบังอาจจดบัญชีเท็จนั้น โจทก์มิได้ฟ้องให้มีการไต่สวนมูลฟ้องก่อนต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวง ฯ พ.ศ. ๒๔๙๙ มาตรา ๑๓ โจทก์ไม่มีสิทธิจะฟ้องรวมมาได้ นั้น เห็นว่า ข้อหานี้เป็นข้อเท็จจริงที่เกี่ยวพันกับข้อเท็จจริงตามฟ้องข้อ ก.และ ข. ซึ่งศาลแขวงฯ ได้ไต่สวนและสั่งว่ามีมูลแล้ว โจทก์มีอำนาจฟ้องได้ตามมาตรา ๑๖ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ พ.ศ. ๒๔๙๙