คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1615/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อความในพินัยกรรมที่สั่งให้ขายทรัพย์ ได้เงินเท่าใดให้มอบให้กรมการศาสนาจำนวนหนึ่งเพื่อตั้งเป็นมูลนิธิเอาเงินผลประโยชน์บำรุงการกุศล ส่วนเงินที่เหลือกับทรัพย์อื่นยกให้แก่บุคคลอีคนหนึ่งนั้น มิใช่เงื่อนไขซึ่งกำหนดให้พินัยกรรมมีผลใช้บังคับต่อเมื่อเงื่อนไขหรือข้อกำหนดตามพินัยกรรมได้ทำสำเร็จแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1698(2)

ย่อยาว

กรมการศาสนาได้ร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของหลวงวิชิตธนสาร นายเล็ก ลีละชาติ น้องของหลวงวิชิตธนสารได้ร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกร่วมด้วย นายเชิญ มีชูขันธ์ ได้คัดค้านและขอให้ตั้งตนเป็นผู้จัดการมรดก ศาลชั้นต้นให้ดำเนินคดีอย่างมีข้อพิพาทและเรียกผู้ร้องว่าโจทก์เรียกผู้คัดค้านว่าจำเลย แล้วพิพากษาตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการมรดก
นายเล็กโจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
นายเล็กโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พินัยกรรมของหลวงวิชิตธนสารที่สั่งให้นายที่ดินโฉนดที่ ๒๒๐ พร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างได้เงินเท่าใด ให้มอบให้กรมการศาสนา ๕๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อตั้งเป็นมูลนิธิเอาเงินผลประโยชน์บำรุงการกุศล ส่วนเงินที่เหลือกับทรัพย์อื่นยกให้นางวิชิตธนสารนั้น มิใช่เงื่อนไขซึ่งกำหนดให้พินัยกรรมมีผลใช้บังคับต่อเมื่อเงื่อนไข หรือข้อกำหนดตามพินัยกรรมได้ทำสำเร็จแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๙๘ (๒) และเห็นว่าควรตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของหลวงวิชิตธนสาร จึงพิพากษายืน

Share