แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยและผู้ตายต่างสมัครใจต่อสู้วิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน จำเลยจะอ้างว่าถูกผู้ตายเตะและต่อยกับบีบคออย่างแรง จำเลยจึงใช้มีดแทงเพื่อเป็นการป้องกันตัวนั้นหาได้ไม่
ขณะที่จำเลยและผู้ตายกอดปล้ำต่อสู้กันนั้นเป็นเวลามืดค่ำมองไม่เห็นกัน จำเลยดึงมีดพกซึงเหน็บที่เอว แทงไปข้างหน้า 2 ที แทงไปโดยไมรู้ว่าถูกตรงไหน จึงเป็นการแสดงให้เห็นว่าจำเลยไม่ได้ตั้งใจแทงในที่สำคัญแต่ผลไปปรากฏว่าผู้ตายถูกแทงที่ใต้รักแร้ขวาและชายโครงซ้าย โลหิตตกในถึงแก่ความตาย เช่นนี้ เชื่อไว้ว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่า เพียงแต่มุ่งทำร้าย แต่ทำร้ายจนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายโดยไม่ได้ตั้งใจ จึงมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 290
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้มีดแทงนายน้อยหรือสมศักดิ์ ไชยแก้ว ถึงแก่ความตาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๘๘
จำเลยให้การต่อสู้ว่าป้องกันตัว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๘๘ ให้จำคุก ๑๕ ปี ลดให้ตามมาตรา ๗๘ กึ่งหนึ่ง คงจำคุก ๗ ปี ๖ เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยมีเจตนาทำร้ายร่างกาย จึงมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๙๐ ให้จำคุกจำเลย ๙ ปี ลดโทษให้ ๑ ใน ๓ คงจำคุก ๖ ปี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยใช้มีดปลายแหลมแทงทำร้ายร่างกายนายน้อยหรือสมศักดิ์ ไชยแก้ว ถึงแก่ความตายจริง ปัญหาต่อไปจึงมีว่า การที่จำเลยแทงนายน้อยนั้นเป็นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุได้หรือไม่ และถ้าไม่เป็นการป้องกัน การกระทำของจำเลยจะเป็นการฆ่าคนตายโดยเจตนาหรือไม่เจตนาข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ก่อนจะเกิดมีการแทงทำร้ายร่างกายกันนั้น จำเลยไปต่อว่านางจี๋ว่าตักส้วมทำให้กลิ่นอุจจาระเหม็นจนภริยาจำเลยเป็นลมและอาเจียน จำเลยขอร้องให้ปิดส้วมเสียก่อง แต่เพราะได้เปิดส้วมตักอุจจาระแล้วจะปิดก็ลำบากจึงไม่ปิด และนางจี๋ว่ ถ้ารู้ว่าภริยาจำเลยกำลังอยู่ไฟก็จะไม่ตักส้วม จึงพูดขอโทษจำเลย ฝ่ายผู้ตายเห็นจำเลยมาต่อว่าเช่นนั้น ก็ลงเรือนมาที่ข้างบ่อน้ำและพูดว่า อย่าไปทะเลาะกับนางจี๋เลยเพราะนางจี๋เป็นคนแก่คนเฒ่าและขอโทษแล้ว จำเลยก็ว่าจะเอาอย่างไรดี ผู้ตายก็บอกว่าเอาอย่างไรก็ได้ จำเลยก็พูดว่าให้ไปสู้กันนอกบ้าน พูดแล้วจำเลยก็เดินไป ผู้ตายก็เดินตามจำเลย พอไปถึงประตูบ้านนางไฮ้ จำเลยเดินกลับมาหาผู้ตายแล้วเกิดต่อสู้ทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันอยู่สัก ๕ นาที ผู้ตายก็เดินกุมท้องกลับบ้านบอกว่าจำเลยแทง ปรากฏว่าถูกแทง ๒ แผล ที่บริเวณใต้รักแร้ขวา ๑ แห่ง ใต้ชายโครงซ้าย ๑ แห่ง มีโลหิตไหล ญาติก็รีบนำผู้ตายส่งโรงพยาบาลคืนนั้น ผู้ตายอยู่ได้ ๖-๗ ชั่วโมงก็ถึงแก่ความตายเพราะแผลที่ถูกแทง โดยโลหิตตกใน พฤติการณ์อย่างนี้ฟังได้ว่าจำเลยและผู้ตายต่างสมัครใจต่อสู้วิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน การที่จำเลยอ้างว่าถูกผู้ตายเตะและต่อยกับบีบคออย่างแรง จึงใช้มีดแทงเพื่อเป็นการป้องกันตัวนั้น เห็นว่าเรื่องนี้เป็นการสมัครใจต่อสู้วิวาทกัน จำเลยจะยกเอาข้อป้องกันตัวมาเป็นเหตุให้พ้นผิดหาได้ไม่
ปัญหาต่อไปจึงมีว่า การกระทำของจำเลยจะเป็นการฆ่าคนตายโดยเจตนาหรือไม่เจตนา
เรื่องนี้ เกิดเหตุเวลากลางคืนมืดแล้ว จำเลยกับผู้ตายต่อสู้กันอยู่ราว ๕ นาที แล้วเลิกสู้กันโดยผู้ตายเดินกุมท้องกลับบ้าน การต่อสู้กันมีเสียงตุบตับ จึงฟังว่าต้องมีการกอดปล้ำกัน จำเลยว่าเจ็บที่เอวก็นึกถึงมีดพกที่เหน็บเอวมา ก็ดึงมีดออกจากฝักแล้วเสยแทงไปข้างหน้า ๒ ที ในขณะกอดปล้ำ เวลานั้นมืดค่ำมองไม่เห็นกัน และแทงไปโดยไม่รู้ว่าถูกตรงไหนนั้น จึงเป็นการแสดงให้เห็นว่า แทงไปโดยไม่ตั้งใจแทงในที่สำคัญ แต่ผลไปปรากฏว่าผู้ตายถูกแทงที่ใต้รักแร้ขวาและชายโครงซ้าย โลหิตตกในถึงแก่ความตายขึ้นเช่นนี้ ศาลฎีกาเชื่อว่าจำเลยไม่เจตนาฆ่า เพียงแต่มุ่งทำร้าย แต่ทำร้ายเขาจนเป็นเหตุให้เขาถึงแก่ความตายโดยไม่ตั้งใจเช่นนี้ จำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๙๐ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยลงโทษจำเลยมานั้น ศาลฎีกาเห็นชอบด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ยกฎีกาโจทก์