แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยทำหนังสือรับรองไว้มีใจความว่า จำเลยได้รักษาตัวที่โรงพยาบาลและโจทก์เป็นผู้ทำการผ่าตัด ค่าผ่าตัดนั้นตามบิลของโจทก์เป็นจำนวน 6500 แฟรงค์ และในวันที่ 29 พฤษภาคม 2489 จำเลยได้ใช้หนี้แก่โจทก์ไปแล้ว 650 แฟรงค์ ดังนี้ ถือได้ว่า จำเลยได้รับสภาพหนี้ตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา 172 แล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นสามีภริยากัน จำเลยที่ ๑ โดยความยินยอมของจำเลยที่ ๒ ได้ตกลงให้โจทก์ทำการผ่าตัดและตรวจสอบรักษาจำเลยที่ ๑ โจทก์ได้ทำการตรวจรักษาและผ่าตัดจำเลยที่ ๑ แล้ว ได้เสนอค่าผ่าตัดและรักษาพยาบาลจำนวน ๖๕๐๐ แฟรงค์ สวิสต่อจำเลย ๆ ได้ยอมให้ใช้ให้โจทก์บ้างเป็นเงิน ๖๕๐ แฟรงค์ ยังคงค้างอีก ๕๘๕๐ แฟรงค์ ไม่ชำระ จึงขอให้ศาลบังคับ
จำเลยให้การต่อสู้คดีหลายประการ และตัดฟ้องว่า คดีโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ตามฟ้อง และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยได้ทำหนังสือรับรองดังเอกสารหมาย จ.๘ มีใจความว่า “จำเลยได้รักษาตัวที่โรงพยาบาล และโจทก์เป็นผู้ทำการผ่าตัด ค่าผ่าตัดนั้นตามบิลของโจทก์เป็นจำนวน ๖๕๐๐ แฟรงค์ และในวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๔๘๙ จำเลยได้ใช้หนี้แก่โจทก์ไปแล้ว ๖๕๐ แฟรงค์”
ตามข้อความในเอกสารที่จำเลยทำขึ้นนี้ แสดงให้เห็นว่า จำเลยได้รับสภาพหนี้แล้ว ตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา ๑๗๒ คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
คงพิพากษายืน