แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยกับสิบตำรวจโทสำเนียงและสิบตำรวจเอกเหม กลับจากงานบวชนาคด้วยกัน เมื่อไปถึงทุ่งนา สิบตำรวจโทสำเนียงบอกว่าจะไปถ่ายเพราะปวดท้อง จึงมอบปืนไว้กับสิบตำรวจเอกเหม แล้วสิบตำรวจโทสำเนียงก็เดินไปโดยจำเลยเดินตามไปด้วย สิบตำรวจเอกเหมไปคุยอยู่กับพรรคพวก จำเลยได้กลับมาหาสิบตำรวจเอกเหมและเอาความเท็จบอกว่าสิบตำรวจโทสำเนียงให้มาเอาปืนจะไปธุระ สิบตำรวจเอกเหมเห็นว่าจำเลยกับสิบตำรวจโทสำเนียงเจ้าของปืนเป็นเพื่อนกัน จึงหลงเชื่อตามคำหลอกลวงของจำเลยและมอบปืนให้จำเลยไป ดังนี้ การกระทำของจำเลยจึงอยู่ในลักษณะที่เห็นได้ว่าจำเลยหลอกลวงให้สิบตำรวจเอกเหมหลงเชื่อจนได้ปืนไปจากสิบตำรวจเอกเหมผู้ถูกหลอกลวง ฉะนั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341.
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 7/2509)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้มีเจตนาทุจริต ใช้อุบายหลอกลวงสิบตำรวจเอกเหมด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ และปกปิดความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง โดยจำเลยใช้อุบายหลอกลวงว่าสิบตำรวจโทสำเนียงเจ้าของอาวุธปืนให้มาเอาปืนซึ่งฝากไว้กับสิบตำรวจเอกเหมเพื่อจะไปธุระ อันเป็นการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ ความจริงสิบตำรวจโทสำเนียงมิได้ใช้ให้จำเลยเอาอาวุธปืนดังกล่าวจากสิบตำรวจเอกเหม เป็นเหตุให้สิบตำรวจเอกเหมหลงเชื่อคำหลอกลวงของจำเลย จึงได้มอบอาวุธปืนให้จำเลยไป ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๔๑
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๔๑ ให้จำคุกจำเลย ๑ ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน แต่มีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์นายหนึ่งเขียนความเห็นแย้งว่าสิบตำรวจโทสำเนียงมิได้ฝากปืนกับสิบตำรวจเอกเหม เป็นแต่มอบให้ยึดถือรักษาไว้ชั่วขณะหนึ่งระหว่างที่สิบตำรวจโทสำเนียงไปทำกิจส่วนตัวอยู่ใกล้ ๆ การครอบครองปืนยังอยู่กับสิบตำรวจโทสำเนียง ฉะนั้น จึงเห็นได้ชัดว่าจำเลยเอาปืนไปจากสิบตำรวจเอกเหม จะด้วยอุบายหลอกลวงอย่างใด ก็เป็นแต่อุบายเพื่อเอาทรัพย์ไปจากความครอบครองของสิบตำรวจโทสำเนียงซึ่งต้องถือว่ายังเป็นผู้ครอบครองปืนอยู่ในขณะนั้น โดยจำเลยก็รู้ข้อเท็จจริงนี้ดีอยู่ ไม่ใช่เอาไปจากความครอบครองของสิบตำรวจเอกเหม การเอาไปจึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ เพราะมิได้หลอกลวงสิบตำรวจโทสำเนียงผู้ครอบครองทรัพย์นั้นแต่ประการใด จึงเห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๓๕ ข้อ ๑
จำเลยฎีกาว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ แต่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษฐานฉ้อโกง เมื่อข้อเท็จจริงในทางพิจารณาต่างกับฟ้อง ศาลชอบที่จะพิพากษายกฟ้องโจทก์
ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนและประชุมปรึกษาแล้ว ทางพิจารณาฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติได้ว่า สิบตำรวจโทสำเนียงและสิบตำรวจเอกเหมไปในงานบวชนาค เมื่อกินเลี้ยงเสร็จแล้ว เมื่อเวลาประมาณ ๒๑ นาฬิกา สิบตำรวจโทสำเนียงสิบตำรวจเอกเหมและจำเลยพากันไปทางทุ่งนา สิบตำรวจโทสำเนียงบอกสิบตำรวจเอกเหมว่าจะไปถ่ายเพราะปวดท้อง และมอบปืนไว้กับสิบตำรวจเอกเหม แล้วสิบตำรวจโทสำเนียงก็เดินไปโดยจำเลยเดินตามไปด้วย เดินไปได้ประมาณ ๔ – ๕ วา สิบตำรวจโทสำเนียงก็แยกไปถ่าย สิบตำรวจเอกเหมได้ไปคุยอยู่กับพรรคพวก จำเลยได้กลับมาหาสิบตำรวจเอกเหมและบอกว่าสิบตำรวจโทสำเนียงให้มาเอาปืนจะไปธุระ สิบตำรวจเอกเหมหลงเชื่อเพราะจำเลยเป็นเพื่อนกับสิบตำรวจโทสำเนียง จึงมอบปืนให้จำเลยไป รุ่งขึ้นสิบตำรวจโทสำเนียงไปเอาปืนจากสิบตำรวจเอกเหม สิบตำรวจเอกเหมจึงบอกว่าจำเลยมาบอกว่าสิบตำรวจโทสำเนียงให้จำเลยมาเอาปืนจึงมอบปืนให้จำเลยไป สิบตำรวจโทสำเนียงบอกว่าไม่ได้ใช้ให้จำเลยมาเอาปืน เมื่อทราบเรื่องดังกล่าวสิบตำรวจโทสำเนียงก็ไปสอบถามจำเลย จำเลยปฏิเสธว่าไม่ได้เอาไป คดีมีประเด็นที่จะต้องพิจารณาว่าการกระทำของจำเลยจะเป็นผิดฐานใด ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๔๑ นั้น ถ้าการกระทำอยู่ในลักษณะที่เห็นได้ว่าผู้กระทำได้หลอกลวงจนได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่ ๓ หรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่ ๓ ทำ ถอนหรือทำลายเอกสารสิทธิแล้ว ผู้กระทำก็มีความผิดฐานฉ้อโกง เรื่องนี้เห็นได้ชัดว่าจำเลยได้ปืนจากสิบตำรวจเอกเหมโดยเอาความเท็จไปบอกว่าสิบตำรวจโทสำเนียงเจ้าของปืนให้มาเอาปืนเพื่อจะไปธุระ สิบตำรวจเอกเหมเห็นว่าสิบตำรวจโทสำเนียงกับจำเลยเป็นเพื่อนกัน จึงหลงเชื่อตามคำหลอกลวงของจำเลยและมอบปืนให้จำเลยไป ดังนี้ การกระทำของจำเลยจึงอยู่ในลักษณะที่เห็นได้ว่าจำเลยหลอกลวงให้สิบตำรวจเอกเหมหลงเชื่อจนได้ปืนไปจากสิบตำรวจเอกเหมผู้ถูกหลอกลวง ฉะนั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๔๑ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น.
พิพากษายืน.