แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 เป็นคนไร้ความสามารถ จำเลยที่ 2 เป็นผู้อนุบาลตามคำสั่งศาล จำเลยที่ 2 ได้สมยอมทำหนังสือสัญญากู้เงินกับโจทก์เพื่อเรียกร้องเอาทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 เมื่อเป็นเช่นนี้ จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิด.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นบุคคลไร้ความสามารถ มีนางปรุง อาคุนเคน เป็นผู้อนุบาล วันที่ ๑ กันยายน ๒๔๙๙ จำเลยที่ ๑ โดยนางปรุงผู้อนุบาลและจำเลยที่ ๒ ได้ทำสัญญากู้เงินโจทก์ไป ๔๐,๐๐๐ บาท กำหนดชำระภาพในวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๐๑ จำเลยที่ ๑๒ เป็นผู้ค้ำประกัน ขอให้ศาลบังคับ
ชั้นแรก จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การแต่ต่อมานางเหลี่ยม อาคุนเคน พี่สาวจำเลยที่ ๑ ยื่นคำร้องขอเป็นปู้แทนเฉพาะคดี ศาลสั่งอนุญาตและอนุญาตให้จำเลยที่ ๑ ยื่นคำให้การ
จำเลยที่ ๑ ต่อสู้ว่า จำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่แยกกันอยู่ ในระหว่างวันเดือนปีที่โจทก์ฟ้อง จำเลยที่ ๑ ไม่เป็นบุคคลวิกลจริต และไม่อยู่ในความเลี้ยงดูรักษาของจำเลยที่ ๒ ไม่มีการกู้ย้มเงินกันฟังฟ้อง แต่โจทก์กับจำเลยที่ ๒,๓ สมคบกันตั้งหนี้สินขึ้น โจทก์ดำเนินคดีไม่สุจริต ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ รับว่า ได้กู้เงินและรับเงินไปจากโจทก์จริง เพื่อใช้รักษาพยาบาลจำเลยที่ ๑ และบุตร
จำเลยที่ ๓ ต่อสู้ว่า โจทก์จำเลยได้ตกลงผ่อนชำระหนี้กันเป็นรายเดือน โดยผู้ค้ำประกันไม่ได้ร่วมผูกพันด้วย ผู้ค้ำประกันจึงหลุดพ้นความรับผิด
ศาลชั้นต้นเห็นว่า หนี้สินรายนี้เป็นการสมยอมกันเพื่อเรียกเอาทรัพย์จากจำเลยที่ ๑ เมื่อจำเลยที่ ๒ ให้การยอมรับ จึงให้จำเลยที่ ๒ ชำระหนี้แก่โจทก์ ส่วนจำเลยที่ ๓ โจทก์ไม่ติดใจเรียกร้อง จึงไม่ต้องชำระหนี้แก่โจทก์ พิพากษาให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๑,๓ ส่วนจำเลยที่ ๒ นั้นให้ใช้หนี้แก่โจทก์ตามฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ให้จำเลยที่ ๑ ใช้หนี้ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า หลังจากศาลมีคำสั่งให้จำเลยที่ ๑ อยู่ในความอนุบาลของจำเลยที่ ๒ เพียง ๗ วัน จำเลยที่ ๒ ก็เอาที่ดินของจำเลยที่ ๑ ไปขายฝากเป็นเงิน ๕๕,๐๐๐ บาท หลังจากขายฝาก ๑ เดือน จำเลยที่ ๒ ก็ไปกู้เงินโจทก์ ๔๐,๐๐๐ บาท เงินที่ได้จากการขายฝากไม่น่าจะหมดเร็ว เพราะการรักษาพยาบาลก็น้อย บุตรของจำเลยที่ ๒ ก็เรียนเพียงชั้นประถมเท่านั้น จำเลยที่ ๒ เคยกู้เงินโจทก์ไป ๕,๐๐๐ บาท โดยนำโฉนดให้โจทก์ยึดถือเป็นประกัน แต่การกู้ครั้งหลังเป็นเงินถึง ๔๐,๐๐๐ บาท โจทก์ไม่ได้เรียกร้องให้จำเลยที่ ๒ หาโฉนดหรือหลักทรัพย์มาให้โจทก์ยึดถือ จำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันนั้น โจทก์ก็ไม่ทราบว่ามีหลักทรัพย์อะไรบ้าง จะว่าโจทก์เชื่อถือผู้ค้ำประกันได้อย่างไร เมื่อโจทก์เบิกความก็ว่าไม่ติดใจเรียกร้องเอาจากจำเลยที่ ๓ พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงคามพิรุธของการกู้เงินของโจทก์ และจำเลยที่ ๒ อนึ่ง ตามสัญญากู้ จำเลยที่ ๒ จะต้องชำระต้นเงินภายในวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๐๑ จำเลยไม่ได้ชำระเงินต้นและดอกเบี้ยแก่โจทก์เลย โจทก์เพิ่งมาฟ้องเมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๐๔ เห็นได้ว่าเป็นการเรียกร้องล่าช้าผิดปกติ เมื่อโจทก์ยื่นฟ้อง โจทก์ได้ส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องให้จำเลยที่ ๒ รับแทนจำเลยที่ ๑ ทั้งที่ จำเลยที่ ๒ ไม่ได้เป็นผู้อนุบาลจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๑ เคยยื่นฟ้องจำเลยที่ ๒ ขอให้เพิกถอนคำสั่งตั้งจำเลยที่ ๒ เป็นผู้อนุบาล จำเลยที่ ๒ ไม่ยื่นคำให้การแก้คดีให้จำเลยที่ ๑ เป็นเหตุให้ศาลสั่งว่าจำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การ ซึ่งถ้านางเหลี่ยมไม่ได้ยื่นคำร้องต่อศาล ขอเป็นผู้แทนเฉพาะคดีและยื่นคำให้การแทนจำเลยที่ ๑ แล้ว จำเลยที่ ๑ ก็ไม่มีโอกาสยื่นคำให้การต่อสู้คดีนี้ได้ พฤติการณ์และเหตุดังกล่าวทั้งหมด ประกอบกันแสดงให้เห็นถึงเจตนาอันไม่บริสุทธิ์ของโจทก์และจำเลยที่ ๒,๓ รูปคดีน่าเชื่อว่าหนี้สินรายนี้ได้สมยอมกันทำขึ้นเพื่อเรียกร้องเอาทรัพย์ของจำเลยที่ ๑ ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธร์พิพากษาต้องกันให้จำเลยที่ ๑ ชนะคดีชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไมขึ้น พิพากษายืน