แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์และจำเลยที่ 1 เป็นสามีภริยากันก่อนประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 สิทธิในสินสมรสระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 ต้องบังคับตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย ซึ่งใช้อยู่ก่อนวันประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 เมื่อโจทก์ได้จำเลยที่ 1 เป็นสามีโจทก์ไม่มีสินเดิม ตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย โจทก์ไม่มีสิทธิจะได้ส่วนแบ่งในสินสมรส
(อ้างฎีกาที่ 326/2479)
เมื่อฟังว่านาพิพาทเป็นสินเดิมของจำเลยที่ 1 และแม้หากจะฟังว่าเรือนและครัวซึ่งปลูกอยู่บนนาพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 เมื่อโจทก์ไม่มีสิทธิจะได้ส่วนแบ่งในสินสมรส จำเลยที่ 1 ก็มีอำนาจขายนาพิพาทพร้อมด้วยเรือนและครัวให้จำเลยที่ 2 ได้ โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับนายนาคจำเลยที่ ๑ เป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายต่างมีสินเดิมด้วยกัน ต่อมาจับจองที่ดิน ๑ แปลงคือ โฉนดที่ ๓๖๙๘ ลงชื่อจำเลยที่ ๑ ถือกรรมสิทธิ์แต่ผู้เดียว ได้ปลูกบ้านและครัวลงในที่แปลงนี้ด้วย โจทก์ถือว่าทรัพย์ดังกล่าวเป็นสินสมรส จำเลยที่ ๑ ทะเลาะวิวาทและทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อโจทก์อย่างร้ายแรง ด่าโจทก์และบุพการีของโจทก์ ฯลฯ จำเลยโอนขายที่พิพาทให้จำเลยที่ ๒ เป็นการสมยอมกัน ขอให้เพิกถอนทำลายนิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาท เรือนและครัว ระหว่างจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ กับโจทก์ขาดจากการเป็นสามีภริยาและแบ่งสินสมรส หากจำเลยที่ ๑ ไม่ยอมหย่าก็ขอให้ลงชื่อโจทก์เป็นเจ้าของร่วมกับจำเลยที่ ๑ ในโฉนดที่ดินพิพาท เรือนและครัวตามฟ้อง
จำเลยให้การว่า จำเลยที่ ๑ กับโจทก์อยู่กินฉันสามีภริยาภายหลังประกาศให้ใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ โดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส โจทก์ไม่มีทรัพย์ติดตัวมาเลย ที่ดินโฉนดที่ ๓๖๙๘ เป็นสินเดิมของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ จับจองทำเป็นนาเสร็จเรียบร้อยก่อนได้โจทก์เป็นภริยา ไม่เคยด่าหมิ่นประมาทโจทก์และบุพการีโจทก์ ฯลฯ ที่ดินและเรือนและครัวเป็นสินเดิมจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ มีสิทธิขายได้
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า ได้ซื้อนาพิพาทกับเรือนและครัวโดยสุจริต ไม่ได้ซื้อโดยสมยอม
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินโฉนดที่ ๓๖๙๘ กับบ้านเรือนระหว่างจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ให้ลงชื่อโจทก์ในโฉนดดังกล่าวร่วมกับจำเลยที่ ๑
จำเลยทั้งสองฎีกา
จำเลยที่ ๑ ถึงแก่ความตายระหว่างฎีกา นางสัมฤทธิ์ กรานสกุล และนางบุญตา สุภาผล ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนจำเลยที่ ๑ ศาลฎีกาอนุญาต
คดีมีประเด็นเฉพาะข้อที่โจทก์ขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายที่นาพิพาท เรือนและครัว ระหว่างจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ กับขอให้แบ่งทรัพย์พิพาทให้โจทก์
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ได้จำเลยที่ ๑ เป็นสามีก่อนประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ โจทก์จำเลยที่ ๑ เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่มีสินเดิมมาก่อน ขณะมาอยู่กับจำเลยที่ ๑ นาพิพาทเป็นสินเดิมของจำเลยที่ ๑ เรือนและครัวที่ปลูกอยู่ในนาพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์และจำเลยที่ ๑ และเห็นว่าคดีนี้ทางพิจารณาฟังได้ว่าโจทก์และจำเลยที่ ๑ เป็นสามีภริยากันก่อนประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ สิทธิในสินสมรสระหว่างโจทก์และจำเลยที่ ๑ ต้องบังคับตามกฎหมายลักษณะผัวเมียซึ่งใช้อยู่ก่อนวันประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ เมื่อโจทก์ได้จำเลยที่ ๑ เป็นสามี โจทก์ไม่มีสินเดิม ตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย โจทก์ไม่มีสิทธิจะได้ส่วนแบ่งในสินสมรสตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ ๓๒๖/๒๔๗๙ ฉะนั้น ถึงหากจะฟังว่าเรือนและครัวที่ปลูกอยู่ในที่พิพาทเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ โจทก์ก็ไม่มีสิทธิจะได้ส่วนแบ่งในทรัพย์นั้นอยู่นั่นเอง ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
เมื่อฟังว่านาพิพาทเป็นสินเดิมของจำเลยที่ ๑ และโจทก์ไม่มีสิทธิและได้ส่วนแบ่งในสินสมรสแล้ว จำเลยที่ ๑ ก็มีอำนาจขายนาพิพาทพร้อมด้วยเรือนและครัวให้จำเลยที่ ๒ ได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์ ฉะนั้น ก็ไม่ต้องพิจารณาในประเด็นที่โจทก์อ้างว่า การซื้อขายนาพิพาทพร้อมด้วยเรือนและครัวระหว่างจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ เป็นการสมยอมกันต่อไป
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เป็นให้ยกฟ้องโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น