คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1068/2502

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อจำเลยรู้อยู่ว่าผู้ตายกำลังโหนตัวอยู่ข้างนอกรถด้านขวาและกำลังมีรถสวนมาด้วยความเร็ว จำเลยก็มิได้ชลอลดความเร็วลงหรือหยุดรถ เพียงแต่หักรถหลบไปในระยะกระชั้นชิด ผู้ตายจึงถูกรถที่สวนมาเฉี่ยวถึงแก่ความตาย ย่อมได้ชื่อว่าเป็นการกระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ ซึ่งจำเลยอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ เช่นนี้ เป็นการกระทำโดยประมาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองขับรถยนต์หลักสวนกันบนท้องถนนด้วยความประมาท ไม่ชลอความเร็วของรถลงและไม่ขับรถให้ห่างกันในขณะที่รถยนต์จะสวนกัน แต่ขับขี่สวนกันในระยะใกล้ชิดกันมา จนถึงกับตัวถังของรถยนต์ทั้งสองคันปะทะเสียดสีครูดกันและเฉี่ยวหรือเบียดเอาตัวนายกบหรือสุนทร ซึ่งโดยสารมากับรถยนต์ของจำเลยที่ ๑ ถึงแก่ความตายทันที และทำให้นายพิมานผู้โดยสารรถของจำเลยที่ ๑ บาดเจ็บสาหัส จำเลยทั้งสองขับรถยนต์ไปในขณะที่ใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ของจำเลยทั้งสองสิ้นอายุแล้ว ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๙, ๒๙๑, ๓๐๐ พ.ร.บ. จราจรทางบก ฯ มาตรา ๖๖ กฎกระทรวงมหาดไทย (ฉบับที่ ๒) ออกตามความใน พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. ๒๔๗๗ ข้อ ๑๐ และ พ.ร.บ. รถยนต์ พ.ศ. ๒๔๗๓ มาตรา ๓๓
จำเลยทั้งสองปฏิเสธ ว่ามิได้มีความประมาท ส่วนข้อใบอนุญาตขับขี่รถยนต์รับว่าขาดอายุจริง
ศาลชั้นต้นฟังว่า ความตายของผู้ตายอันเกิดจากรถยนต์ที่จำเลยขับเบียดกันมิได้เกิดจากการขับรถยนต์โดยประมาทดังฟ้อง ส่วนเรื่องใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ขาดอายุฟังได้ พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้คนตายและบาดเจ็บ ส่วนในข้อใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ขาดอายุให้ปรับคนละ ๑๐๐ บาท ไม่เสียค่าปรับ จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙
อัยการโจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า จำเลยทั้งสองต่างขับรถโดยประมาท เป็นเหตุให้นายกบหรือสุนทรตาย และนายพิมพ์ได้รับบาดเจ็บสาหัส ส่วนข้อที่ศาลชั้นต้นพิพากษาปรับจำเลยคนละ ๑๐๐ บาท ในข้อใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ขาดอายุ โดยมิได้ปรับบทมาตราว่าผิดกฎหมายอะไร มาตราใด นั้น ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ยังไม่ชอบ ป.วิ.อ. มาตรา ๑๘๖ (๗) จึงพิพากษาแก้ว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดฐานขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้คนตายและได้รับอันตรายสาหัส ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๑, ๓๐๐ แต่ให้ลงโทษตาม มาตรา ๒๙๑ ซึ่งเป็นบทหนัก ให้จำคุกจำเลยคนละ ๒ ปี และจำเลยทั้งสองมีความผิดตาม พ.ร.บ. รถยนต์ พ.ศ. ๒๔๗๓ มาตรา ๓๓ นอกจากที่แก้นี้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๑ ผู้เดียวฎีกาว่า จำเลยมิได้มีความประมาท
ศาลฎีกาฟังว่า เมื่อจำเลยที่ ๑ รู้อยู่ว่าผู้ตายกำลังโหนตัวอยู่ข้างนอกรถด้านขวาและกำลังมีรถสวนมาด้วยความเร็ว จำเลยที่ ๑ มิได้ชลอลดความเร็วลง หรือหยุดรถ เพียงแต่หักหลบไปในระยะกระชั้นชิด ผู้ตายจึงถูกรถที่สวนมาเฉี่ยวถึงแก่ความตาย ย่อมได้ชื่อว่า เป็นการกระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้น จักต้องมีตามวิสัย และพฤติการณ์ และจำเลยที่ ๑ อาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ เช่นนี้ เป็นการกระทำโดยประมาท
ศาลฎีกาพิพากษายืน

Share