คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 941/2498

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า “การกระทำของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวเป็นการละเมิดต่อบท ก.ม. เป็นเหตุให้รถยนต์ของโจทก์ต้องเสียหายคิดค่าซ่อมแซมเป็นเงิน 18,072 บาท 05 สตางค์ และแม้จะซ่อมแซมก็เป็นเหตุให้รถยนต์ของโจทก์เสื่อมราคาจากเดิมคิดเป็นเงิน 4,000 บาท “ดังนี้ ฟ้องของโจทก์ในข้อที่อ้างว่ารถเสื่อมราคานั้นได้แสดงออกโดยชัดแจ้งพอที่จะให้เข้าใจสภาพแห่งข้อหาได้ชัดเจนดีพอแล้วจึงไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
การที่บิดาปล่อยให้บุตรผู้เยาว์ขับรถยนต์ไปเที่ยวเสมอและในครั้งเกิดเหตุก็ขับรถยนต์ไปกับเพื่อน บิดารู้เห็นก็มิได้ห้ามตักเตือนจนขับรถไปทำให้ผู้อื่นเสียหายดังนี้ ย่อมถือได้ว่าบิดาพิสูจน์ไม่ได้ว่าคนใดใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่บิดาผู้ปกครองบุตรอยู่โดยปกติ จึงต้องรับผิดร่วมกับบุตร ตาม ม. 429

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ เป็นผู้เยาว์และเป็นบุตรจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๑ ได้ขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ชนรถยนต์ของโจทก์เสียหาย จึงขอให้จำเลยทั้ง ๒ ใช้ค่าซ่อมแซมรถกับค่าเสื่อมราคา
จำเลยให้การปฏิเสธและต่อสู้ว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายดังฟ้อง และตัดฟ้องว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้ง ๒ ใช้ค่าเสื่อมราคารถ ๒,๕๐๐ บาท คำขอให้ใช้ค่าซ่อมแซมให้ยกเสีย
โจทก์จำเลยต่างอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาว่าฟ้องเคลือบคลุม และจำเลยที่ ๒ ไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๑
ศาลฎีกาปรึกษาแล้วปรากฎว่าในข้อที่โจทก์ว่ารถเสื่อมราคานี้ ตามคำฟ้องเดิมและคำร้องเพิ่มเติมฟ้องคงกล่าวอย่างเดียวกันว่า ” การกระทำของจำเลยที่ ๑ดังกล่าวละเมิดต่อบท ก.ม.เป็นเหตุให้รถยนต์ของโจทก์ต้องเสียหายคิดค่าซ่อมแซมเป็นเงิน ๑๘,๐๗๒.๐๖ บาท และแม้จะซ่อมก็ยังเป็นเหตุให้รถยนต์ของโจทก์เสื่อมราคาจากเดิมคิดเป็นเงิน ๔,๐๐๐ บาท “ดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่าข้ออ้างตามคำฟ้องได้ความเป็นที่เข้าใจได้ชัดแล้ว จำเลยที่ ๑ ขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ชนรถยนต์ของโจทก์เสียหาย แม้จะซ่อมแล้วรถของโจทก์ก็ยังต้องเสื่อมราคาอยู่ดังนี้จึงเห็นได้ว่าฟ้องของโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดพอที่จะให้เข้าใจสภาพแห่งข้อหาได้แล้วจึงไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
ฎีกาของจำเลยในข้อที่ว่าจำเลยที่ ๒ ไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๑ ปรากฎว่าจำเลยที่ ๒ ได้ปล่อมปละละเลยให้จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้เยาว์คบเพื่อนเที่ยวเตร่และขับรถยนต์ไปในที่ต่าง ๆ เสมอ ๆ ซึ่งจำเลยที่ ๒ ย่อมรู้อยู่ว่าเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืน ก.ม.บ้านเมือง และใกล้จะก่ออันตรายให้แก่สาธารณชน แม้ในครั้งที่เกิดเหตุนี้ก็ได้ขับรถยนต์ไปจากบ้านพร้อมด้วยเพื่อนฝูง จำเลยที่ ๒ ได้รู้เห็นอยู่ก็มิได้ห้ามปรามเพื่อตักเตือนจำเลยที่ ๑ อย่างไร ปล่อยให้จำเลยที่ ๑ ขับรถโดยฝ่าฝืน ก.ม. ไปทำให้โจทก์ต้องเสียหายดังนี้ ต้องฟังว่าจำเลยที่ ๒ ไม่ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่บิดาผู้ปกครองบุตรอยู่โดยปกติจำเลยที่ ๒ จึงไม่พ้นที่จะต้องรับผิดชอบต่อโจทก์ร่วมกับจำเลยที่ ๑ ตามนัยแห่ง ป.พ.พ.ม. ๔๒๙ จึงพิพากษายืน

Share