คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 483/2480

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลพิพากษาให้จำเลยโอนที่ดินให้โจทก์ตามสัญญาถ้าโอนไม่ได้ให้ใช้ค่าเสียหายดังนี้ เมื่อปรากฎว่าจำเลยยังสามารถกระทำการโอนให้ได้ แลถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตามก็ย่อมถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาได้
การฟ้องขอให้บังคับจำเลยโอนที่ดินให้นั้นถือว่าเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ โจทก์ไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาลตามราคาที่ดิน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินให้โจทก์เป็นราคา ๓๖๐๐ บาทจำเลยรับเงินมัดจำไปแล้ว ๖๐๐ บาท เวลานี้ที่ดินรายนี้มีราคา ๕๐๐๐ บาทจำเลยกลับไม่ยอมขายที่ดินให้ จึงขอให้จำเลยขายที่ดินให้โจทก์ตามสัญญาหรือมิฉะนั้นให้จำเลยคืนเงินมัดจำแลค่าเสียหายให้โจทก์อีก ๑๔๐๐ บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยโอนขายที่รายนี้ให้แก่โจทก์โดยให้ได้รับเงินที่ค้างชำระอีก ๓๐๐๐ บาท หรือถ้าจำเลยโอนไม่ได้ก็ให้จำเลยคืนเงินมัดจำ ๖๐๐ บาท
ปรากฎว่าจำเลยได้นำเงินมัดจำกับดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมมาชำระ แต่โจทก์ยื่นคำร้องขอมให้บังคับจำเลยให้โอนที่ดินศาลชั้นต้นสั่งให้ยกคำร้อง แต่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าการขอให้บังคับโอนที่ดินนั้นปรากฎว่าที่ดินยังอยู่ในอำนาจของจำเลยที่จะทำการโอนได้ควรถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยตามประมวลแพ่ง ฯ มาตรา ๒๑๓ วรรค ๒ จึงกลับคำสั่งศาลชั้นต้นให้จำเลยโอนที่ดินให้โจทก์
จำเลยฎีกาว่าโจทก์เสียค่าขึ้นศาลในทุนทรัพย์ ๑๔๐๐ บาทศาลจะบังคับให้จำเลยโอนที่ดินราคา ๓๖๐๐ บาทไม่ได้
ศาลฎีกาเห็นว่าฟ้องโจทก์ที่ขอให้บังคับให้จำเลยโอนที่ดินเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทึกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ แต่มีคำขอค่าเสียหายซึ่งมีทุนทรัพย์รวมอยู่ด้วย โจทก์ก็ได้เสียค่าขึ้นศาลในทุนทรัพย์ ๑๔๐๐ บาทจึงเป็นอันถูกต้องแล้ว จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์

Share