แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พฤตติการณ์ที่ถือว่าเป็นการแสดงเจตนาลวงอันตกเป็นโมฆะตาม ม.118 การที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ยื่นคำร้องขอให้ศาลยึดทรัพย์จำเลยก่อนคำพิพากษานั้นย่อมทำให้อายุความเรื่องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลสดุดหยุดลงตาม ม.173
ย่อยาว
ชั้นเดิมโจทก์ฟ้องจำเลยเรียกเงินกู้ ๘๐๐ บาท และได้ยื่นคำร้องขอให้ยื่นทรัพย์จำเลยก่อนคำพิพากษา เพราะจำเลยทำการยักยองทรัพย์ โอนกรรมสิทธิ์ให้แก่นางไล้ผู้ร้องไป ศาลไต่สวนแล้วสั่งให้ยึดทรัพย์ก่อนคำพิพากษาได้ และในที่สุดศาลฎีกาได้พิพากษาให้จำเลยใช้ต้นเงิน ๘๐๐ บาท กับดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ ต่อมาผู้ร้องได้ยื่นคำร้องว่าที่ดินโฉนดที่ ๓๑๙๒ ที่โจทก์นำยึดนั้นได้เป็นกรรมสิทธิของผู้ร้องแล้ว
ศาลชั้นต้นฟังว่า โจทก์ได้ทราบการโอนทรัพย์รายนี้มาเกือบ ๒ ปี มิได้ว่ากล่าวกับผู้ร้องเสียภายในกำหนด ๑ ปีตามประมวลแพ่ง ฯ ม.๒๔๐ จึงสั่งให้ถอนการยึดที่ดินคืนให้ผู้ร้องไป
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าการโอนรายนี้มิได้โอนกันจริงจัง ทำกันพอเป็นพิธีเพื่อป้องกันมิให้ถูกยึด ส่วนอายุความนั้นคู่ความมิได้ยกขึ้นต่อสู้เลยตาม ม.๑๙๓ ศาลจะยกมาเป็นมูลยกฟ้องมิได้ จึงให้ยกคำร้องของผู้ร้องเสีย
ศาลฎีกาตัดสินว่า การโอนขายรายนี้มิได้เจตนาทำกันจริงจัง หากทำเป็นพิธีเพื่อป้องกันเจ้าหนี้ ซึ่งตามกฎหมายถือว่าจำเลยกับผู้ร้องได้สมรู้กันทำการโอนขายทรัพย์ด้วยเจตนาลวงเป็นโมฆะตาม ม.๑๑๘-๑๓๓ ฉะนั้นเจ้าหนี้ย่อมยึดทรัพย์ของจำเลยโดยมิต้องฟ้องขอให้เพิกถอนการโอน อนึ่งการที่โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้จำเลยได้ขอให้ศาลยึดทรัพย์ก่อนคำพิพากษาภายใน ๑ ปี เมื่อรู้ว่าจำเลยทำการโอนไประหว่างความ ย่อมถือว่าเป็นการทำให้อายุความสดุดหยุดลงตาม ม.๑๗๓ เพราะการที่โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ไต่สวนยึดที่ดินรายพิพาทย่อมเป็นลักษณการที่จะขอให้ขายทอดตลาดที่ดินในเมื่อชนะความ จึงเป็นการเริ่มตั้งหลักฐานสิทธิเรียกร้องในที่ดินรายพิพาทนั้น เมื่อปัญหาเรื่องอายุความตกไปแล้ว ปัญหาเรื่องศาลอุทธรณ์ฝ่าฝืนประมวลวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๒๒๕-๒๔๐ จึงตกไปด้วย พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ให้ยกฎีกาโจทก์