คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 702/2483

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีซึ่งมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงไม่ถึงสิบปี เมื่อฟ้องโจทก์ระบุความผิดไว้ชัดแจ้ง และจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลก็พิพากษาลงโทษจำเลยได้คดีเบิกความเท็จ ถ้าศาลสงสัยว่าคำเบิกความในคดีก่อนจะมิใช่ข้อสำคัญก็อาจเรียกสำนวนมาดูในฐานเป็นพะยานของศาลได้ตาม ประมวลวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 228

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเบิกความเท็จต่อศาลในข้อใหญ่ใจความในคดีดำที่ ๓๘๑/๒๔๘๓ ขอให้ลงโทษตามกฎหมายอาญามาตรา ๑๕๖ พรบ แก้ไขเพิ่มเติม กฎหมายอาญา ๒๔๗๗ (ฉะบับที่ ๓) มาตรา ๔ ซึ่งจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องโจทก์จำเลยไม่สืบพะยาน
ศาลจังหวัดพิจิตร์เห็นว่าโจทก์มิได้อ้างสำนวนคดีอาญาดำที่ ๓๘๑/๒๔๘๓ มาเป็นพะยานคดีไม่พอชี้ขาดว่าจำเลย ได้เบิกความในเรื่องนั้นเป็นข้องสำคัญแห่งคดีหรือไม่ อนึ่งแม้ศาลจะเรียกสำนวนในคดีเรื่องนั้นมาประกอบการวินิจฉัยในฐานเป็นพะยานของศาลโดย โจทก์มิได้อ้างถึงได้ก็ดีแต่เมื่อฟ้องและคำให้การไม่พอจะจะลงโทษจำเลยแล้ว ศาลจะเรียกสำนวนนั้นมาเพื่อเป็นพะยาน ลงโทษจำเลยมิได้ จึงพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าเมื่อโจทก์บรรยายฟ้องไว้ชัดว่า คำเท็จที่ จำเลยเบิกต่อศาลเป็นข้อใหญ่ใจความในคดีและจำเลยก็รับสารภาพโดยไม่มีข้อโต้แย้ง ศาลก็พิพากษาได้โดยไม่ต้องฟังพะยานอะไรประกอบอีกตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๑๗๖ หากศาลสงสัยว่าจะมิใช่ข้อสำคัญในคดี อาจเรียสำนวนมาดูได้เมื่อเห็นว่ามิใข่ข้อสำคัญในคดีก็ย่อมพิพากษายกฟ้องได้ แต่จะยกฟ้องเพราะ โจทก์มิได้อ้างสำนวนเดิมไม่ได้ จึงพิพากษากลับศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยตามกฎหมายที่ โจทก์อ้าง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อคดีนี้มิใช่คดีซึ่งมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่ ๑๐ ปี ขึ้นไป ฟ้องของโจทก์ระบุความผิดของ จำเลยไว้ชัดแล้ว และจำเลยก็ให้การรับสารภาพ ก็ไม่มีอะไรที่ โจทก์ต้องสืบอีกคดีลงโทษจำเลยได้แล้ว แต่ค้าศาบระแวงว่าคำเบิกความเท็จในคดีเรื่องก่อนจะไม่สำคัญก็อาจเรียกมาดูได้ แต่มิใช่เพื่อ ลงโทษจำเลยเพราะตามฟ้องและคำให้การก็พอลงโทษจำเลยได้อยุ่แล้ว และชั้นนี้จำเลยก็มิได้เถียงว่า ไม่ใช่ข้อสำคัญในคดี จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์

Share